การพัฒนาห่วงโซ่การผลิตและตลาดสินค้าเกษตรในพื้นที่ภาคกลางอย่างยั่งยืน (Sustainable Development of Production and Marketing Chains for Agriculture Sector in Central Region of Thailand)

choenkrainara 14 views 12 slides Nov 24, 2024
Slide 1
Slide 1 of 12
Slide 1
1
Slide 2
2
Slide 3
3
Slide 4
4
Slide 5
5
Slide 6
6
Slide 7
7
Slide 8
8
Slide 9
9
Slide 10
10
Slide 11
11
Slide 12
12

About This Presentation

บทความนี้นำเสนอภาพรวมของตลาดสินค้าเกษตรในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย โดยเน้นที่บทบาทของตลาดในการสนับส�...


Slide Content

การพัฒนาห่วงโซ่การผลิตและตลาดสินค้าเกษตร
ในพื้นที่ภาคกลางอย่างยั่งยืน
(Sustainable Development of Production and
Marketing Chains for Agriculture Sector in Central
Region of Thailand)



โดย

ดร.เชิญ ไกรนรา
[email protected]




สำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคกลาง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
1 เมษายน 2556

2

การพัฒนาห่วงโซ่การผลิตและตลาดสินค้าเกษตรในพื้นที่ภาคกลางอย่างยั่งยืน

1.ความสำคัญของภาคเกษตรกรรมต่อระบบเศรษฐกิจภาคกลาง

ภาคกลางคลอบคุลมพื้นที่ 26 จังหวัด (นับรวมกรุงเทพมหานคร) มีภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มประกอบด้วย
12 ลุ่มน้ำได้แก่ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำสะแกกรัง ลุ่มน้ำท่าจีน ลุ่มน้ำป่าลัก ลุ่มน้ำเพชรบุรี ลุ่มน้ำปราจีนบุรี
ลุ่มน้ำบางปะกง ลุ่มน้ำโตนเลสาบ ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก ลุ่มน้ำแม่กลอง ลุ่มน้ำเพชรบุรี และลุ่มน้ำ
ชายฝั่งทะเลตะวันตก มีพื้นที่ถือครองเพื่อการเกษตรจำนวน 26 ล้านไร่ ซึ่งมีการพัฒนาพื้นที่ชลประทานมาก
ที่สุดในประเทศประมาณ 13.70 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 51 ของพื้นที่เกษตรทั้งภาค และยังมีพื้นที่ศักยภาพ
เพื่อการพัฒนาชลประทานอีกประมาณ 3.60 ล้านไร่ ในปี 2553 ภาคเกษตรกรรมสร้างรายได้จำนวน 329,229
ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4 สำหรับภาคนอกเกษตรกรรมสร้างรายได้จำนวน 7,523,317 ล้านบาท
หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 96 % โดยสัดส่วนของภาคเกษตรกรรมในพื้นที่ภาคกลางคิดเป็นประมาณร้อยละ
28 ของรายได้จากภาคเกษตรกรรมทั้งประเทศโดยกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกมีรายได้จากภาคเกษตรสูงสุด
จำนวน 125,043 ล้านบาท รองลงมาคือกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 จำนวน 40,022 ล้านบาท และกลุ่ม
จังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 จำนวน 38,571 ล้านบาท ตามลำดับ

แม้ว่าภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนรายได้ค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับภาคนอกเกษตรกรรม แต่ภาคเกษตรยังมี
บทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งสร้างงานและสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท โดยในปี
2553 ภาคกลางมีครัวเรือนที่ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องอยู่ในภาคเกษตรกรรมประมาณ 900,000 ครัวเรือน
หรือร้อยละ 10.74 ของครัวเรือนเกษตกรทั้งประเทศ คิดเป็นประชากรประมาณ 3.26 ล้านคน หรือร้อยละ 15

3

ของประชากรทั้งภาคกลาง อย่างไรก็ตามจำนวนเกษตรกรมีแนวโน้มลดลงตามพลวัตรการพัฒนาภาคกลาง
สำหรับสินค้าเกษตรที่โดดเด่นในพื้นที่ภาคกลางและแหล่งผลิต ได้แก่ ข้าว (สุพรรณบุรี ชัยนาท อยุธยา) ผลไม้
(ประจวบคีรีขันธ์ จันทบุรี ชลบุรี เพชรบุรี) ยางพารา (ระยอง จันทบุรี ตราด) พืชผักต่างๆ (ราชบุรี กาญจนบุรี
สุพรรณบุรี) ไก่ (ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี) สุกร (ราชบุรี นครปฐม) และประมง (สมุทรสาคร สมุทรปราการ
ตราด และระยอง)

2.ปัญหาของห่วงโซ่คุณค่าการผลิตสินค้าเกษตรในพื้นที่ภาคกลาง

ห่วงโซ่การผลิต (Production Chain หรือ Supply Chain) หมายถึงเครือข่ายของความเชื่อมโยงทางธุรกิจที่
เกี่ยวข้องกับการจัดหาสินค้าและบริการที่เป็นความต้องการของผู้บริโภคคนสุดท้าย การจัดการห่วงโซ่การผลิต
ครอบคลุมการเคลื่อนย้ายทั้งหมดและการเก็บรักษาวัตถุดิบ ภารกิจที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดทำสินค้าคง
คลัง และสินค้าสำเร็จรูปจากจุดที่ผลิตไปยังจุดของการบริโภค สำหรับการผลิตสินค้าเกษตรในพื้นที่ภาคกลาง
สามารถประยุกต์ตามแนวคิดห่วงโซ่การผลิตที่ได้กล่าวมาแล้วออกได้เป็น 5 ห่วงโซ่การผลิตคือ โครงสร้างพื้น





ห่วงโซ่การผลิตของสินค้าเกษตรในพื้นที่ภาคกลาง
ฐานและการขนส่ง ปัจจัยการผลิต ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เกษตรกร กระบวนการผลิตและผลผลิต การแปร
รูป ผู้บริโภค การตลาดและการกระจายสินค้า ซึ่งถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่อาจส่งผลให้เกิดความยั่งยืนใน
การพัฒนาการเกษตรของพื้นที่ภาคกลางและระดับประเทศ โดยสภาพปัญหาของแต่ละห่วงโซ่การผลิตสินค้า
เกษตรในพื้นที่ภาคกลางสรุปได้ดังนี้
2.1 ห่วงโซ่โครงสร้างพื้นฐานและการขนส่ง
• ระบบโลจิสติกส์ของพืชผลทางการเกษตรมีความยุ่งยากกว่าสินค้าอื่นๆ เนื่องจาก
✓ ธรรมชาติของผลผลิตทางการเกษตรส่วนมากเป็นผลผลิตที่ออกเป็นฤดูกาล เมื่อผลผลิตออกสู่ตลาด
พร้อมๆ กันเป็นจำนวนมากทำให้อุปทานล้นตลาด นอกจากนี้ผลผลิตทางการเกษตรเป็นของสด เน่า
เสียง่าย จำเป็นต้องอาศัยหรือพึ่งพาระบบโลจิสติกส์ที่มีคุณภาพสูงในการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม
และกระจายผลผลิต ตลอดทั้งต้องรักษามาตรฐานด้านความสะอาดของผลผลิต
✓ เกษตรกรขาดองค์ความรู้ในด้านโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรโดยเฉพาะการจัดการในห่วงโซ่
ของการรักษาความเย็น (Cold Chain Management) ในกระบวนการการกระจายสินค้าซึ่งไม่ถูก
นำไปใช้ในภาคเกษตรอย่างเป็นระบบ
โครงสร้าง
พื้นฐานและ
การขนส่ง

ปัจจัยการผลิต
ทรัพยากรและ
สิ่งแวดล้อม

การแปร
รูป

ผู้บริโภค
การตลาดและการ
กระจายสินค้า

เกษตรกร
กระบวนการ
ผลิตและ
ผลผลิต

4

• ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสูงขึ้นส่งผลให้มีต้นทุนการขนส่งที่สูงขึ้น
2.2 ห่วงโซ่ปัจจัยการผลิต ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
• หนี้สินของเกษตรกรทั้งในสถาบันการเงินในระบบและหนี้นอกระบบและราคาปัจจัยการผลิตสูงขึ้น
ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
• เกษตรกรจำนวนมากไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง ต้องเช่าที่ดินทำกิน ส่วนเกษตรกรที่มีที่ดินจำนวน
มากแต่ละปีต้องสูญเสียที่ดินให้กับสถาบันการเงิน และพื้นที่เกษตรกรรมในภาคกลางได้ลดลงไปมาก
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินไปเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม
• ปัญหาที่ดินเสื่อมโทรมจากการใช้สารเคมีติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
• การเข้าไม่ถึงทรัพยากรการผลิตโดยเฉพาะน้ำ ทะเล ป่า และทรัพยากรพันธุกรรมทั้งหลายที่อยู่ในป่า
ซึ่งเป็นฐานชีวิตของเกษตรกรและชาวประมงขนาดเล็กทำให้เกษตรกรรายย่อยขาดศักยภาพในการ
เพิ่มผลผลิต
• น้ำเพื่อการเกษตรมีไม่เพียงพอเนื่องจากภาคกลางมีความต้องการน้ำสูงถึงปีละ 44,172 ล้านลูกบาศก์
เมตร สูงกว่าปริมาณน้ำท่า 1.25 เท่าจึงต้องพึ่งพาน้ำท่าจากภาคเหนือ (ส่วนใหญ่จากลุ่มน้ำปิง และลุ่ม
น้ำน่าน) โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาใหญ่ และมีการการแย่งใช้น้ำระหว่างภาคเกษตรกับ
ภาคอุตสาหกรรม
• ผลกระทบจาสภาวะโลกร้อนทำให้การคาดการณ์เกี่ยวกับฤดูกลาลและภัยธรรมชาติโดยเฉพาะภัยแล้ว
และอุทกภัยทำได้ยากโดยปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
2.3 ห่วงโซ่เกษตกร กระบวนการผลิตและผลผลิต
• เกษตรกรยังเน้นกระบวนการผลิตที่ใช้ปัจจัยการผลิตเข้มข้น เช่น ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลง โดยยังไม่ได้
ให้ความสำคัญการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ทำให้ปริมาณสินค้าเกษตรอินทรีย์ยังมีน้อย และเกษตรกร
บางส่วนมีปัญหาด้านสุขภาพเนื่องจากมีการใช้สารเคมีเพื่อการเกษตรติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
• คนรุ่นใหม่ที่ออกไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นในสถาบันการศึกษานอกพื้นที่มักเลือกที่จะทำงานใน
กรุงเทพฯมากกว่าการสืบทอดกิจการของครอบครัวที่ต่างจังหวัด
• สินค้าเกษตรที่ได้มาตรฐานเชิงการค้าระหว่างประเทศมีน้อย และมีปริมาณ/คุณภาพไม่สม่ำเสมอและ
ไม่ต่อเนื่องตลอดปี
2.4 ห่วงโซ่การแปรรูป
• การแปรรูปสินค้าเกษตรยังมีน้อยและขาดการรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อแปรรูปสินค้าเกษตร
2.5 ห่วงโซ่ผู้บริโภค การตลาดและการกระจายสินค้า
• เกษตรกรขาดความรู้และให้ความสำคัญกับภาคการตลาดน้อย ขาดการรวมกลุ่มในการขายสินค้าทำ
ให้ขาดอำนาจการต่อรอง และขาดการเชื่อมโยงสินค้าและการตลาดระหว่างเกษตรกรหรือกลุ่มผู้ผลิต
และผู้ซื้ออย่างเป็นระบบ

5

• เงื่อนไข มาตรฐานและกฎระเบียบระหว่างประเทศต่างๆ ส่งผลต่อปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรของ
พื้นที่ภาคกลาง
• ในระยะยาวปริมาณความต้องการทางอาหารจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากรที่สูงขึ้นส่งผลให้อาหาร
อาจขาดแคลนหรือมีราคาสูงขึ้นได้
• เกษตรกรไม่มีส่วนในการกำหนดราคาตลาด ราคาผลผลิตเกษตรจึงไม่เป็นธรรม ไม่แน่นอน ผันผวน
ตามอำนาจซื้อของพ่อค้าคนกลางซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร
• ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ยังมีน้อยส่งผลให้ผู้บริโภคยังไม่ตื่นตัวในการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์

3.นโยบายรัฐบาลเพื่อสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตร
จากปัญหาของภาคเกษตรดังกล่าวรัฐบาลจึงกำหนดนโยบายให้มีการจัดทำเขตการใช้ที่ดินทางการเกษตรหรือ
โซนนิ่งเพื่อสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่การผลิตสินค้าเกษตรทั้ง 5 ห่วงโซ่ประกอบด้วย
โครงสร้างพื้นฐานและการขนส่ง ปัจจัยการผลิต ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เกษตรกร กระบวนการผลิตและ
ผลผลิต การแปรรูป และผู้บริโภค การตลาดและการกระจายสินค้า โดยกำหนดเขตการใช้ที่ดินเพื่อให้เกษตรกร
ทำการผลิตตามศักยภาพของพื้นที่ ส่งเสริมให้การเพาะปลูกเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ดังนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้ออกประกาศเรื่อง การกำหนดเขตความเหมาะสมสำหรับพืชเกษตร
เศรษฐกิจที่สำคัญ 6 ชนิด คือ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อยโรงงาน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
เพื่อให้ปริมาณผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการบริโภคทั้งในประเทศและการส่งออก รวมทั้งป้องกันไม่ให้เกิด
ปัญหาผลผลิตล้นตลาด โดยกำหนดโซนนิ่งจากระดับที่มีความเหมาะสมมากที่สุดไปจนถึงไม่เหมาะสม ซึ่งจะ
ช่วยให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้มากผลผลิตที่ได้จึงมีปริมาณและคุณภาพสูงส่งผลให้เกษตรกร
มีรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยเกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เหมาะสมจากมาตรการจูงใจ
เช่น การให้องค์ความรู้ การให้ทุนโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และการ
สนับสนุนด้านการตลาดและโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น สำหรับเขตที่เหมาะสมกับการปลูกพืช 6 ชนิด มี
รายละเอียดดังนี้
• พื้นที่เหมาะสมกับการปลูกข้าว ทั้งประเทศมีทั้งสิ้น 76 จังหวัด 809 อำเภอ 5,880 ตำบล โดยแบ่ง
ออกเป็นภาคกลาง 19 จังหวัด และภาคตะวันออก 7 จังหวัด (ภาคเหนือ 17 จังหวัด ภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด และภาคใต้ 13 จังหวัด)
• พื้นที่เหมาะสมกับการปลูกมันสำปะหลัง ทั้งประเทศมีทั้งสิ้น 49 จังหวัด 448 อำเภอ 2,113 ตำบล
แบ่งออกเป็นภาคกลาง 9 จังหวัด และภาคตะวันออก 6 จังหวัด (ภาคเหนือ 14 จังหวัด และภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด)
• พื้นที่เหมาะสมกับการปลูกยางพารา ทั้งประเทศมีทั้งสิ้น 60 จังหวัด 403 อำเภอ 1,703 ตำบล แบ่ง
ออกเป็นภาคกลาง 7 จังหวัด และภาคตะวันออก 7 จังหวัด (ภาคเหนือ 14 จังหวัด ภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ 18 จังหวัด และภาคใต้ 14 จังหวัด)

6

• พื้นที่เหมาะสมกับการปลูกปาล์มน้ำมัน ทั้งประเทศมีทั้งสิ้น 26 จังหวัด 185 อำเภอ 856 ตำบล แบ่ง
ออกเป็นภาคกลาง 5 จังหวัด และภาคตะวันออก 7 จังหวัด (และภาคใต้ 14 จังหวัด)
• พื้นที่เหมาะสมกับการปลูกอ้อยโรงงาน ทั้งประเทศมีทั้งสิ้น 48 จังหวัด 401 อำเภอ 2,105 ตำบลแบ่ง
ออกเป็นภาคกลาง 11 จังหวัด และภาคตะวันออก 6 จังหวัด (ภาคเหนือ 11 จังหวัด และภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด)
• พื้นที่เหมาะสมกับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งประเทศมีทั้งสิ้น 43 จังหวัด 268 อำเภอ 1,175
ตำบล แบ่งออกเป็นภาคกลาง 8 จังหวัด และภาคตะวันออก 6 จังหวัด (ภาคเหนือ 17 จังหวัด และ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 จังหวัด)

4.ตลาดสินค้าเกษตรที่สำคัญในพื้นที่ภาคกลาง ตลาดมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีของ
เกษตรกรเนื่องจากเป็นช่องทางในการกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค โดยตลาดสินค้าเกษตรในพื้นที่
ภาคกลางแบ่งออกเป็น 2 ระดับคือ
4.1 ตลาดสินค้าเกษตรระดับชุมชน เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนและจำหน่ายสินค้าเกษตรในระดับชุมชนและมี
ปริมาณและมูลค่าการซื้อขายไม่มาก โดยเป็นการซื้อขายระหว่างเกษตรกรผู้ผลิตกับผู้ซื้อหรือผู้รับซื้อโดยตรง

4.2 ตลาดกลางสินค้าเกษตรระดับจังหวัด ระดับภาคหรือระดับประเทศ เป็นสถานที่นัดพบเพื่อการซื้อขาย
สินค้าที่มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากเข้ามาทำการซื้อขายโดยตรง ด้วยวิธีการตกลงราคาหรือประมูลราคากัน
อย่างเปิดเผย ภายใต้ราคาที่เป็นธรรมด้วยการบริการและสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ คลังเก็บรักษาสินค้า
อุปกรณ์ชั่ง ตวง วัด และคัดเกรดสินค้าที่ได้มาตรฐาน รวมถึงบริการด้านข้อมูลข่าวสารทางการตลาดเพื่อ
ประกอบการซื้อขาย ตลาดกลางสินค้าเกษตรจึงเป็นมิติใหม่ในการส่งเสริมการเกษตรไทยให้มีช่องทางในการซื้อ
ขายสินค้าเกษตรอย่างเป็นระบบและลดปัญหาราคาสินค้าตกต่ำในอนาคต ประเทศไทยมีตลาดกลางสินค้า
เกษตรทั้งสิ้น 88 แห่ง สำหรับในพื้นที่ภาคกลางมีจำนวน 27 แห่ง แบ่งออกเป็นตลาดกลางข้าวและพืชไร่
จำนวน 19 แห่ง ตลาดกลางผักและผลไม้จำนวน 6 แห่ง และตลาดกลางสัตว์น้ำจำนวน 2 แห่ง

5.กรณีศึกษา: ปัญหาห่วงโซ่การผลิตสินค้าเกษตรของเกษตรรายย่อยในพื้นที่ภาคกกลางและตัวอย่างตลาด
กลางสินค้าเกษตรที่ประสบความสำเร็จ (Best Practice)

5.1 กรณีศึกษาปัญหาห่วงโซ่การผลิตสินค้าเกษตรของเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ภาคกกลาง
สำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคกลางได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจสภาพเศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกรราย
ย่อยในพื้นที่ภาคกลางตอนล่างจำนวน 5 ชุมชน พบว่าปัญหาห่วงโซ่การผลิตสินค้าเกษตรระดับชุมชนในแต่ละ
พื้นที่มีลักษณะไม่แตกต่างกัน โดยเกษตรกรส่วนใหญ่ประสบปัญหาที่คล้ายคลึงกันได้แก่ ขาดแคลนแหล่งน้ำ
เพื่อการเกษตร ปัจจัยการผลิตมีราคาสูงขึ้น เกษตรกรยังเน้นกระบวนการผลิตที่ใช้สารเคมีจำนวนมาก

7

ผลกระทบจากการใช้สารเคมีทางการเกษตรต่อสุขภาพของเกษตรกร ขาดการรวมกลุ่มเพื่อแปรรูปผลผลิต
เกษตร ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เมื่อเรียนจบบุตรหลานส่วนใหญ่ทำงานนอกภูมิลำเนา และบางชุมชน
เกษตรกรบางรายไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองจำเป็นต้องเช่าที่ดินเพื่อทำเกษตรกรรมและอยู่อาศัย เป็นต้น

5.2 กรณีศึกษาตัวอย่างตลาดกลางสินค้าเกษตรที่ประสบความสำเร็จ (Best Practice)

ตัวอย่างตลาดกลางสินค้าเกษตรที่มีการบริหารจัดการประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในพื้นที่ภาค
กลางคือตลาดไท สำหรับความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของการก่อตั้ง กลุ่มเป้าหมายผู้ใช้บริการ การสร้าง
เครือข่ายเกษตรกรตลาดไท ปัจจัยที่สนับสนุนความสำเร็จของการบริหารจัดการตลาดตลอดทั้งการกำหนด
ตำแหน่งทางการตลาดในระยะยาวปรากฏตามรายละเอียดของกรณีศึกษา
กรณีศึกษาตลาดไท: ตลาดกลางสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรครบวงจรที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดใน
ประเทศ

1) ความเป็นมา ก่อตั้งเป็นทางการเมื่อปี 2540 บริหารจัดการโดย บริษัท ไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จำกัด เพื่อให้เป็น
ตลาดกลางสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรครบวงจรที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในประเทศไทยรวมทั้งเป็นตลาด
สินค้าเกษตรที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน ตั้งอยู่ที่หมู่ 9 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี บนพื้นที่ 450 ไร่
แบ่งตลาดออกเป็นสัดส่วนชัดเจนตามประเภทของสินค้าที่หลากหลาย เช่น ผัก ผลไม้ และดอกไม้ เปิดให้บริการ
24 ชั่วโมง สามารถรองรับปริมาณการค้าได้ 15,000 ตันต่อวัน มูลค่าการค้าประมาณ 400 –600 ล้านบาทต่อวัน มี
บริการสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้มาใช้บริการที่ได้มาตรฐาน

2) วัตถุประสงค์ของตลาดไท เพื่อลดค่าใช้จ่ายการตลาดของสินค้าเกษตรและให้สินค้าเกษตรเข้าสู่ตลาดอย่าง
สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค เพื่อให้เป็นศูนย์กลางของการส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการจัดเกรดคุณภาพ
มาตรฐานสินค้าและการบรรจุหีบห่อและเป็นแหล่งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ผลิตอย่างเป็นธรรมและมีระบบ
เช่น การประมูลการซื้อขาย และสนับสนุนเกษตรกรเครือข่ายให้ทำการผลิตเกษตรปลอดภัย

3) กลุ่มเป้าหมายผู้ใช้บริการ ได้แก่ ผู้ค้าทุกรายที่ประสงค์จะเข้ามาประกอบการค้าอย่างจริงจัง เกษตรกรทุกรายที่
ประสงค์จะนำผลผลิตเข้ามาสู่ระบบตลาดกลาง ผู้ต้องการลงทุนหรือค้าขายสินค้าอเนกประสงค์อื่น ๆ ผู้ซื้อรายใหญ่ที่

8

ประสงค์เข้ามาประมูลผลผลิตทางการเกษตร ผู้ค้าเร่และค้าปลีกสินค้าเกษตร – ผู้ส่งออกสินค้าเกษตร รวมทั้งผู้ซื้อ
เพื่อการบริโภคทั่วไป

4) เครือข่ายเกษตรกรตลาดไท มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดแก่ผู้ค้าและเกษตรกร โดยการประสาน
ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างเกษตรกร ผู้ผลิต ผู้รวบรวม ตลาดกลางและหน่วยงานของรัฐ เพื่อผลักดันให้เกิดการ
ผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค สร้างความเชื่อมั่นแก่ระบบตลาดกลางและสร้างความยั่งยืนให้แก่ภาค
เกษตรของไทย กิจกรรมที่สำคัญของเครือข่ายฯได้แก่ การบรรยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตรในตลาดไท
แก่เกษตรกรในพื้นที่ภาคกลาง การจัดทำเครือข่ายสัญจรโดยนำผู้ค้าและเกษตรลูกสวนเครือข่ายเกษตรกรตลาดไทย
ศึกษาดูงานสหกรณ์การเกษตรท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีเพื่อศึกษากระบวนการผลิตกล้วยหอมเพื่อการส่งออกเพื่อ
เสริมสร้างความรู้สู่การพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตร การจัดอบรมการผลิตพืชตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่
ดี (Good Agricultural Practice: GAP) ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ภาคกลาง เช่น กลุ่มผู้ปลูกกล้วยหอม จังหวัดปทุมธานี
กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกฝรั่ง จังหวัดสมุทรสาคร และกลุ่มผู้ปลูกฝรั่งและชมพู่ทับทิมจันทร์ จังหวัดนครปฐมและจังหวัด
ราชบุรี และการจัดทำป้ายมาตรฐานตลาดไทระดับทองและระดับเงิน เพื่อรับรองคุณภาพเครือข่ายเกษตรกรตลาดไท
ตามมาตรฐาน GAP ให้แก่แผงค้าในตลาดไท

5) เครือข่ายเกษตรกรตลาดไท มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดแก่ผู้ค้าและเกษตรกร โดยการประสาน
ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างเกษตรกร ผู้ผลิต ผู้รวบรวม ตลาดกลางและหน่วยงานของรัฐ เพื่อผลักดันให้เกิดการ
ผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค สร้างความเชื่อมั่นแก่ระบบตลาดกลางและสร้างความยั่งยืนให้แก่ภาค
เกษตรของไทย กิจกรรมที่สำคัญของเครือข่ายฯได้แก่ การบรรยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตรในตลาดไทแก่
เกษตรกรในพื้นที่ภาคกลาง การจัดทำเครือข่ายสัญจรโดยนำผู้ค้าและเกษตรลูกสวนเครือข่ายเกษตรกรตลาดไทยศึกษา
ดูงานสหกรณ์การเกษตรท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีเพื่อศึกษากระบวนการผลิตกล้วยหอมเพื่อการส่งออกเพื่อเสริมสร้าง
ความรู้สู่การพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตร การจัดอบรมการผลิตพืชตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี
(Good Agricultural Practice: GAP) ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ภาคกลาง เช่น กลุ่มผู้ปลูกกล้วยหอม จังหวัดปทุมธานี
กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกฝรั่ง จังหวัดสมุทรสาคร และกลุ่มผู้ปลูกฝรั่งและชมพู่ทับทิมจันทร์ จังหวัดนครปฐมและจังหวัด
ราชบุรี และการจัดทำป้ายมาตรฐานตลาดไทระดับทองและระดับเงิน เพื่อรับรองคุณภาพเครือข่ายเกษตรกรตลาดไท
ตามมาตรฐาน GAP ให้แก่แผงค้าในตลาดไท

6) ปัจจัยที่สนับสนุนความสำเร็จของการบริหารจัดการตลาดไท ได้แก่ มีที่ตั้งอยู่ใกล้ถนนสายหลักและใกล้ตลาด
บริโภคขนาดใหญ่คือ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สามารถกระจายสินค้าไปยังตลาดในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ
รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน มีการจัดทำเครือข่ายเกษตรกรตลาดไทและส่งเสริมห่วงโซ่การผลิตภายใต้มาตรฐาน GAP มี
สินค้าผัก ผลไม้ ดอกไม้ ปลาน้ำจืดและทะเลที่หลากหลายและมีสินค้าจำหน่ายปริมาณมากมากและตลอดปี สิ่งอำนวย
ความสะดวกทางการค้าสินค้าเกษตรที่เพียงพอและมีการบริหารจัดการตลาดที่ทันสมัย มีการจัดทำป้ายมาตรฐาน
สินค้า GAP ให้แก่แผงค้า และมีการพัฒนาธุรกิจที่ต่อเนื่องโดยให้บริการจัดส่งสินค้าอาหารสดและอาหารแห้งทั่ว
ประเทศภายใต้ตราสินค้า Taladthai Fresh

9

7) การกำหนดตำแหน่งทางการตลาดในระยะยาว (Long-term marketing position) ผู้บริหารกิจการกำหนด
เป้าหมายให้ตลาดไทเป็นแหล่งรวบรวมและกระจายสินค้าเกษตรที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน GAP

6.ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าและตลาดสินค้าเกษตรของพื้นที่ภาคกลางอย่างยั่งยืน
เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในการพัฒนาเกษตรอย่างยั่งยืนและเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร
ตั้งแต่ระดับชุมชน ระดับภาคจนถึงระดับประเทศ และการขับเคลื่อนการพัฒนาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์
การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นครัวของโลก โดยมีแนวทางการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าและตลาดสินค้าเกษตรของ
พื้นที่ภาคกลางดังนี้
6.1 การพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าสินค้าเกษตร
• ควรส่งเสริมให้ใช้องค์ความรู้ทางด้านโลจิสติกส์หรือวิทยาการทางด้านเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว
อย่างเหมาะสม เพื่อช่วยยืดอายุไม่ให้ผลผลิตออกมาล้นตลาดในช่วงเดียวกันมากเกินไป ซึ่งรวมไปถึง
การทำตลาดซื้อ-ขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าอันจะทำให้การวางระบบการขนส่งและกระจายสินค้ามี
ประสิทธิภาพมากขึ้น
• ปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทั้งระบบถนน ระบบราง ท่าเรือ ท่าอากาศยาน
ศุลกากรและโรงเก็บสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบขนส่งปกติที่สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก
เช่น ทางรถไฟและทางน้ำ
• การบริหารข้อมูลข่าวสาร การติดต่อสื่อสารควรมีความสะดวกและชัดเจน โดยควรมีระบบเทคโนโลยี
สารสนเทศที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆ ให้สูงขึ้น และสร้างเครือข่ายที่เชื่อมต่อทั้งในประเทศและ
ต่างประเทศอย่างทั่วถึงและเชื่อมโยงกับระบบอื่นๆ ตั้งแต่แหล่งผลิตวัตถุดิบ ตลาดรับซื้อ โรงงานผู้ผลิต
จนถึงผู้บริโภคให้มีมาตรฐานที่เป็นสากล เพื่อสร้างเครือข่ายการประสานงานการลดต้นทุนสินค้า
• ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มในรูปสหกรณ์การผลิตและจำหน่ายเพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่ม
คุณภาพของผลผลิต รวมไปถึงการต่อรองกับพ่อค้าทั้งภายในประเทศและพ่อค้าส่งออก ตลอดทั้ง
ส่งเสริมการรวมกลุ่มของวิสาหกิจชุมชนเพื่อการแปรรูปสินค้าเกษตรให้มีความเข้มแข็ง
• รัฐบาลควรผลักดันการแปลงนโยบายการกำหนดโซนนิ่งการเกษตรไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
และต่อเนื่อง และควบคุมการผลิตให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการบริโภคทั้งภายในประเทศและ
ส่งออก โดยยึดราคาเป็นหลักไม่ปล่อยให้มีการผลิตอย่างไร้ทิศทางและเกิดปัญหาล้นตลาด
• ควรเน้นการพัฒนาคุณภาพของพืชผลทางการเกษตรเนื่องจากมีแรงกดดันด้านค่าจ้างแรงงานที่สูง
และหากต้องการขายในราคาที่สูงจึงควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นตลาดระดับบน (High-end or
niche market) ซึ่งมีความต้องการสินค้าที่ดีต่อสุขภาพ ปลอดภัยและไร้สารพิษ
• เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงทางการผลิตตลอดห่วงโซ่การผลิตภาครัฐควรให้การสนับสนุนข้อมูลข่าวสาร
ด้านการตลาดทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศสำหรับธุรกิจทางการเกษตรแก่เกษตรกรและ
กลุ่มเกษตรกรรายย่อยอย่างกว้างขวางและทั่วถึง

10

• ส่งเสริมการสร้างตราสินค้าเกษตร (Certified Brand) ที่ได้มาตรฐานเพื่อส่งเสริมการส่งออกตลาด
ต่างประเทศ
• ส่งเสริมให้เกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรต่างๆ ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐาน
GAP และส่งเสริมความเชื่อมโยงทางการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตรในรูปแบบพันธสัญญา
(Contract farming) เพื่อสร้างหลักประกันด้านรายได้ของเกษตรกร

6.2 การพัฒนาตลาดสินค้าเกษตร
• สนับสนุนเกษตรกรในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรระดับชุมชน
• ส่งเสริมการเชื่อมโยงตลาดสินค้าเกษตรในพื้นที่ภาคกลางกับภูมิภาคอื่นๆ และจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตร
ในจังหวัดชายแดนตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor) เช่น จังหวัด
สระแก้ว จังหวัดจันทบุรี เป็นต้น เพื่อสร้างเครือข่ายการกระจายสินค้าเกษตรทั้งภายในประเทศและ
เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน
• ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายตลาดสีเขียวและส่งเสริมการสร้างช่องทางตลาดสีเขียว ได้แก่ ร้านค้าพืชผัก
สีเขียว ระบบสมาชิกผักอินทรีย์ การพัฒนาศูนย์เรียนรู้การรับและกระจายผลผลิตสีเขียวใน
กรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ และการส่งเสริมการจัดตลาดนัดสีเขียว
• การกระจายความเสี่ยงผลกระทบของอุทกภัยต่อระบบห่วงโซ่อุปทานของสินค้าโดยการกำหนดแหล่ง
ที่ตั้งของศูนย์กระจายสินค้าสำรอง เช่น การใช้ประโยชน์ของตลาดสินค้าเกษตรศรีเมือง จังหวัดราชบุรี
เพื่อช่วยกระจายสินค้าไปยังภาคเหนือ ภาคกลางและภาคใต้ เป็นต้น

7.สรุป
พื้นที่ภาคกลางเป็นแหล่งผลิตทางการเกษตรและอาหารที่สำคัญของประเทศ แม้ว่าภาคเกษตรมีสัดส่วนการ
สร้างรายได้ค่อนข้างน้อยประมาณร้อยละ 4 ของรายได้ทั้งภาคกลาง แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่ง
สร้างงานและสร้างรายได้ของประชาชนประมาณ 3.26 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 15 ของประชากรทั้ง
พื้นที่ภาคกลางซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในในชนบท อย่างไรก็ตามจำนวนประชากรภาคเกษตรมีแนวโน้มลดลงตาม
พลวัตรการพัฒนาพื้นที่ภาคกลาง พืชเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคกลาง ได้แก่ ข้าว ผลไม้ ยางพารา พืชผักต่างๆ
ไก่ สุกร และประมง โดยปัญหาของห่วงโซ่การผลิตของสินค้าเกษตรในพื้นที่ภาคกลางส่วนใหญ่มีความ
คล้ายคลึงกับปัญหาภาคเกษตรระดับประเทศซึ่งครอบคลุม 5 ห่วงโซ่หลักคือ โครงสร้างพื้นฐานและการขนส่ง
ปัจจัยการผลิต ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เกษตรกร กระบวนการผลิตและผลผลิต การแปรรูป ผู้บริโภค
การตลาดและการกระจายสินค้า

จากปัญหาระดับประเทศดังกล่าวรัฐบาลได้กำหนดให้มีการจัดทำเขตการใช้ที่ดินทางการเกษตรหรือโซนนิ่งเพื่อ
นำไปสู่การพิจารณาหาแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร การรักษาเสถียรภาพทางด้านราคา

11

เพื่อให้อุปสงค์และอุปทานมีความสมดุลมากขึ้น โดยได้กำหนดเขตความเหมาะสมสำหรับพืชเกษตรเศรษฐกิจที่
สำคัญ 6 ชนิด สำหรับพื้นที่ทั้งประเทศรวมทั้งเฉพาะพื้นที่ภาคกลาง คือ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์ม
น้ำมัน อ้อยโรงงาน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จากความก้าวหน้าด้านการผลิตทางการเกษตรทำให้ภาคกลางเป็น
ศูนย์กลางในการรวบรวมและกระจายสินค้าเกษตรที่สำคัญของประเทศและเพื่อการส่งออก ดังนั้นเพื่อ
สนับสนุนให้มีการพัฒนาเกษตรในพื้นที่ภาคกลางอย่างยั่งยืนจึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าและ
ตลาดสินค้าเกษตรอย่างบูรณาการเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาความมั่นคงทางอาหารตั้งแต่ระดับชุมชน
ระดับภาคและระดับประเทศ ตลอดทั้งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ
ไทยให้เป็นครัวของโลก

เอกสารอ้างอิง
1.กรมชลประทาน 2553 รายงานสรุปโครงการจัดทำแผนพัฒนาการชลประทานระดับลุ่มน้ำอย่างเป็นระบบ
(กรอบน้ำ 60 ล้านไร่)
2. กรมการค้าภายใน 2556 ตลาดกลางสินค้าเกษตร เข้าถึงจาก
http://www.dit.go.th/Service/Pr/file_promote/PDF/middle_market.pdf เข้าถึงเมื่อ 18 มีนาคม
2556
3.เฉลิมชัย วงษ์อารี และ ศิริขัย กัลยาณรัตน์ 2555 ผลกระทบของมหาอุทกภัย 2554 ต่อระบบโลจิสติกส์
สินค้าเกษตรของไทยและข้อเสนอแนะ
4.สำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคกลาง 2553 วิถีชีวิตชาวนาภาคกลาง โจทย์ใหม่ภายใต้กระแสความ
เปลี่ยนแปลง
5.TDRI-จุฬาฯ ชี้เหตุสินค้าเกษตรดิ่งเหว! ปชป.พบหลักฐานทุจริตเอื้อ ‘เขมร’-เตรียมถล่มยิ่งลักษณ์
ในศึกอภิปราย เข้าถึง http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9550000105828
เข้าถึงเมื่อ 12 มีนาคม 2556
6.เกษตรฯโซนนิ่งพืช 6 ชนิด สร้างเสถียรภาพด้านราคา ลดต้นทุนการผลิต เข้าถึงจาก
http://km.rubber.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=6882%3A-6----
18022556-&catid=71%3A2011-06-16-09-35-10&Itemid=142 เข้าถึงได้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2556
7.ราคาผลผลิตตกต่ำ : ปัญหาเรื้อรังของเกษตรกร
เข้าถึงจาก http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000129284 เข้าถึง
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2556
8.รายงานพิเศษ: สภาวะเกษตรกรไทยจำนวนลด อายุเฉลี่ย 45-51 ปี 80% เป็นหนี้จนตรอก
เข้าถึงจาก http ygp://pr.trf.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=80:---45- 51-
80--&catid=35:2010-06-10-02-35-11&Itemid=53 เข้าถึงเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2556
9.อัตลักษณ์ SMEs ไทย เข้าถึงจาก http://122.155.9.68/identity/index.php/central-east เข้าถึงเมื่อ
วันที่ 11 มีนาคม 2556

12

10.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ 2556 มุมมองการแก้ไขปัญหาเกษตรกรทั้งระบบ เข้าถึงได้ที่
http://sathai.org/th/news/interested-article-a-issue/item/187-agriproblemdrpermsak.html
เข้าถึงเมื่อ 15 มีนาคม 2556
11.ความเป็นมาและการบริหารจัดการตลาดไท เข้าถึงได้ที่ http://www.talaadthai.com/main/# เข้าถึง
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2556
12.เครือข่ายตลาดสีเขียวชงตั้งศูนย์กระจายสินค้า"ออร์แกนิก"กลางเมือง เข้าถึงได้
ที่http://www.isranews.org เข้าถึงเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2556
13.ยุทธศาสตร์การจัดระบบตลาดสินค้าเกษตร เข้าถึงจาก
http://www.agriman.doae.go.th/home/agri1/agri1.3/strategics_2554/09_mk.pdf เข้าถึงเมื่อ 19
มีนาคม 2556
Tags