สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม 1 / สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม 1

sumedh2011 517 views 38 slides Nov 18, 2024
Slide 1
Slide 1 of 38
Slide 1
1
Slide 2
2
Slide 3
3
Slide 4
4
Slide 5
5
Slide 6
6
Slide 7
7
Slide 8
8
Slide 9
9
Slide 10
10
Slide 11
11
Slide 12
12
Slide 13
13
Slide 14
14
Slide 15
15
Slide 16
16
Slide 17
17
Slide 18
18
Slide 19
19
Slide 20
20
Slide 21
21
Slide 22
22
Slide 23
23
Slide 24
24
Slide 25
25
Slide 26
26
Slide 27
27
Slide 28
28
Slide 29
29
Slide 30
30
Slide 31
31
Slide 32
32
Slide 33
33
Slide 34
34
Slide 35
35
Slide 36
36
Slide 37
37
Slide 38
38

About This Presentation

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม 1


Slide Content

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 1
กัณฑที่ ๑ อุปสัมปทา
ทรงอนุญาตใหบวชเปนภิกษุ โดย ๓ วิธี คือ :-
๑. เอหิภิกขุอุปสัมปทา แปลว
า อุปสมบทด้วยทรงอนุญาตใหเปนภิกษุมา วิธีนี้ทรงทำเอง
๒. ติสรณคมนูปสัมปทาแปลว
า อุปสมบด้วยถึง ๓ สรณะ วิธีนี้ทรงอนุญาตใหสาวกทำ
๓. ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา แปลว
า อุปสมบทดวยกรรมวาจาที่ ๔ ทั้งญัตติ วิธีนี้ทรงใหสงฆทำ
ค
ําวา สงฆ์

ําวา
"สงฆ

" นั้น มิใช
ภิกษุเฉพาะรูป แต่ภิกษุนั้นเองหลายรูปเข้าประชุมกันเปนหมู เพื่อทำกิจ
อย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกว
า
"สงฆ

" มี ๔ ประเภท คือ :-
๑. จตุวรรค มีพวก ๔ คือมีภิกษุ๔ รูป เปนอย
างน้อย
๒. ปญจวรรค มีพวก ๔ คือมีภิกษุ๕ รูป เปนอย
างน้อย
๓. ทสวรรค มีพวก ๑๐ คือมีภิกษุ๑๐ รูป เปนอย
างน้อย
๔. วีสติวรรค มีพวก ๒๐ คือมีภิกษุ๒๐ รูป เป
็นอยางน้อย
การบวช ๒ อย
าง
การบวชในพระพุทธศาสนามี ๒ อย
าง คือ
:-
๑. การบวชเปนสามเณร เรียก บรรพชา
๒. การบวชเปนภิกษุ เรียก อุปสมบท
วิธีบวชเปนสามเณร ใหผูจะบวชปลงผมและหนวด นุ
งหมผ้ากาสายะเปล่งวาจาถึงพระรัตน
ตรัยเปนสรณะ ด
้วยเคารพจริง ๆ โดยเอาวิธีอุปสมบทที่๒ ซึ่งเลิกแล้วมาใชบวชสามเณร
วิธีบวชเปนภิกษุ มี ๓ วิธี แต
ครั้นทรงอนุญาตใหใชวิธีที่ ๓ แลว ทรงยกเลิกวิธีที่ ๑ และที่ ๒ เสีย
ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา ตองถึงพร
้อมด้วยสมบัติ ๕ คือ
:-
๑. วัตถุสมบัติ
๒. ปริสสมบัติ
๓. สีมาสมบัติ
๔. บุรพกิจ (สมบัติ)
๕. กรรมวาจาสมบัติ
๑. วัตถุสมบัติ ในที่นี้วัตถุหมายถึงตัวผูอปสมบทนั่นเอง
๑. ตองเป
็นมนุษยผูชาย
๒. มีอายุครบ ๒๐ ป
๓. ไม
เป็นมนุษยวิบัติ คือถูกตอน เปนตน
๔. ไม
เปนคนทําผิดอยางร้ายแรง เชน ฆามารดาหรือบิดา เปนตน
๕. ไม
เคยเปนคนทําความเสียหายร้ายแรงในพระพุทธศาสนา เชน ตองปาราชิก
๒. ปริสสมบัติ คือ สมบูรณดวยบริษัท หมายความว
า ตองมีภิกษุสงฆเข้าองคประชุมครบกำหนด
ในมัชฌิมชนบท ๑๐ รูปขึ้นไป ในปจจันตชนบท ๕ รูปขึ้นไป (ในประเทศไทย ๑๐ รูปขึ้นไป)

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 2
๓. สีมาสมบัติ สมบูรณโดยสีมา คือภิกษุอยู
ในสีมาเดียวกัน ตองเขาประชุมหมด หากมีเหตุ
ขัดข
้องต้องมอบฉันทะ
สีมา ๒ ชนิด
๑. พัทธสีมา เขตที่สงฆสมมติไวท
ําสังฆกรรม
๒. อพัทธสีมา เขตนอกเหนือจากที่สมมติ วัดที่ยังไม
ไดผูกพัทสีมา
๔. บุรพกิจ
๑. ตองมีผูรับรอง คือพระอุปชฌายะ
๒. ตองมีบริขารที่จ
ําเปน คือ บาตร สังฆาฏิ อุตราสงค์ อันตรวาสก
(รัดประคต อังสะ ผารัดอก)
๓. ซักถามอันตรายิกธรรม
๕. กรรมวาจาสมบัติ คือ การสวดประกาศในท
ามกลางสงฆ์ โดยออกชื่อผูอุปสมบท ออกชื่ออุปั
ชฌายดวย และสวดใหถูกต
้องชัดเจนตามลําดับดวยญัตติจตุตถกัมมวาจา
วิบัติ ๕
วิบัติ ๕ มีนัยอันตรงกันขามกับสมบัติ ๕ ในการอุปสมบท ตองหลีกเลี่ยงใหพนจากวิบัติทั้ง ๕
ประการเสีย
กัณฑที่ ๒ พระวินัย
กฎหมายและขนบธรรมเนียม ส
ำหรับปองกันความเสียหายและชักจูงใหภิกษุประพฤติดีงาม เรียก

า
พระวินัย จัดเปนส
วนหนี่งของพระไตรปฎก
(พระวินัยปฎก, พระสุตตันตปฎก, พระอภิธรรมปฎก)
พระวินัยนั้นแบ
งเปน ๒ สวน
คือ :-
๑. พระพุทธบัญญัติ ขอที่ทรงตั้งไวเป
็นบทบังคับภิกษุ เพื่อปองกันความเสียหาย และวางโทษ
แก
ผูลวงละเมิด โดยปรับอาบัติหนักบ้างเบาบ้าง อยางเดียวกับพระราชบัญญัติ
๒. อภิสมาจาร ขอที่ทรงแต
งตั้งไว เปนขนบธรรมเนียม เพื่อชักนําความประพฤติของภิกษุใหดี
งาม เหมือนอย
างขนบธรรมเนียมของสกุล
การบัญญัติพระวินัย
การบัญญัติพระวินัยนั้น ไม
ไดทรงบัญญัติไวลวงหนา ตอเมื่อเกิดความเสียหาย เพราะการก
ระท
ําอยางใดอยางหนึ่งของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งแลว จึงทรงบัญญัติหามเปนขอ ๆ ไป เฉพาะข้อหนึ่ง ๆ
ยัง
แบ
งการบัญญัติออกเปน ๒ วาระก็มี
๑. มูลบัญญัติ ขอที่ทรงบัญญัติไวเดิม
๒. อนุบัญญัติ ขอที่ทรงบัญญัติเพิ่มเติมทีหลัง
รวมมูลบัญญัติและอนุบัญญัติเข
้าด้วยกัน เรียกว่า
สิกขาบท (ขอที่ตองศึกษา)
สิกขาบทข
้อหนึ่ง ๆ มีหลายอนุบัญญัติก็มี เหมือนกับมาตราทางพระราชบัญญัติ
อาบัติ

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 3
อาบัติ แปลว
า ความตองการ ไดแกโทษที่เกิดเพราะความละเมิดในขอที่พระพุทธเจ้าห้าม หรือได
แก
กิริยาที่ลวงละเมิดพระราชบัญญัติ และมีโทษเหนือตนอยู
โทษ
อาบัตินั้นว
าโดยโทษมี ๓ สถาน คือ
:-
๑. อย
างหนัก
ขาดจากภิกษุ
๒. อย
างกลาง
ตองอยู
กรรมจึงพน
๓. อย
างเบา
ตองประจานตนต
อภิกษุดวยกันจึงพ้นได
อีกอย
างหนึ่ง มี ๒ สถาน คือ
:-
๑. อเตกิจฉา แก
้ไขไมได
๒. สเตกิจฉา แก
้ไขได
ชื่ออาบัติ
อาบัตินั้นว
าโดยชื่อ มี ๗ อยาง คือ
:-
๑. ปาราชิก
๒. สังฆาทิเสส
๓. ถุลลัจจัย
๔. ปาจิตตีย (นิสสัคคิยปาจิตตีย ๑ สุทธิกปาจิตตีย ๑)
๕. ปาฏิเทสนียะ
๖. ทุกกฎ
๗. ทุพภาสิต
ครุกาบัติ - ลหุกาบัติ
ครุกาบัติ คือ อาบัติหนัก แบ
งเปน ๒ พวก คือ
:-
๑. หนักแก
้ไมได
คือ ปาราชิก เรียก อเตกิจฉา
๒. หนักแก
้ได
คือ สังฆาทิเสส เรียก สเตกิจฉา
ลหุกาบัติ คือ อาบัติเบา คือ ถุลลัจจัย ทุกกฎ ทุพภาสิต
สมุฏฐาน
สมุฏฐาน คือ ทางเกิดอาบัติโดยตรง มี ๔ ทาง คือ :-
๑. ทางกาย เช
น ปาจิตตีย เพราะดื่มน้ำเมา
๒. ทางวาจา เช
น ปาจิตตีย เพราะสอนธรรมแกอนุสัมบัน ใหวาพร้อมกัน
๓. ทางกายกับจิต เช
น ปาราชิก เพราะทําโจรกรรมเอง
๔. ทางวาจากับจิต เช
น ปาราชิก เพราะสั่งใหทําโจรกรรม
สจิตตกะ-อจิตตกะ
อาบัติทั้งหมดนั้น เพ
งเอาเจตนาเปนที่ตั้ง แบงออกเปน ๒ พวก คือ
:-
๑. สจิตตกะ เกิดขึ้นโดยสมุฏฐานที่มีเจตนา

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 4
๒. อจิตตกะ เกิดขึ้นโดยสมุฏฐานที่ไม
มีเจตนา
ทางก
ําหนดรูอาบัติที่เปนสจิตตกะ หรือ อจิตตกะ นั้น อยูที่
รูปความและโวหาร (ค
ําพูด
) ในสิกขาบท
นั้น ๆ นั่นเอง
ตัวอย
าง
รูปความ เช
น
ก. เปนปาจิตติยะ เพราะกล
าวเสียดแทง เปนสจิตตกะ
ข. เปนปาจิตติยะ เพราะดื่มน้
ําเมา เปนอจิตตกะ
ตัวอย
าง
โวหาร เช
น
ก. ๑. ภิกษุใด แกลง ก
อความรําคาญ ใหเกิดแกภิกษุอื่น ดวยคิดวา ดวยอุบายนี้ ความไมผาสุกจักมี
แก
เธอแมครูหนึ่ง ตองปาจิตตีย
๒. ภิกษุใด แกลง ฆ
าสัตวดิรัจฉาน ตองปาจิตตีย
๓. ภิกษุ รูอยู
วา น้ํามีตัวสัตว บริโภคน้ํานั้น ตองปาจิตตีย
(ค
ําวา
"แกลง" หรือ "รูอยู

" นี้แสดงว
าเปนสจิตตกะ
)
ข. สิกขาบทใดไม
มีรูปความและโวหาร เชนนั้น สิกขาบทนั้นเปนอจิตตกะ เหมือนข้อวา ภิกษุชวน
ผูหญิงเดินทางไปดวยกัน แมสิ้นระยะบ
้านหนึ่ง ตองปาจิตตีย
โลกวัชชะ - ปณณัตติวัชชะ
อนึ่ง อาบัตินั้นเปนโทษเสียหายไดอีก ๒ ทาง คือ :-
๑. โลกวัชชะ เปนโทษทางโลก เช
น การฆากัน ทุบตี ขโมย
๒. ปณณัตติวัชชะเปนโทษทางพระบัญญัติ เช
น ขุดดิน
, ฉันอาหารในเวลาวิกาล
อาการที่ตองอาบัติ ๖ อย
าง
๑. ตองด
้วยไมละอาย
(แล
้วขืนทํา
)
๒. ตองด
้วยไมรู
-"-
๓. ตองด
้วยสงสัย
-"-
๔. ตองด
้วยสําคัญวาควรในของที่ไมควร
-"-
๕. ตองด
้วยสําคัญวาไมควรในของที่ควร
-"-
๖. ตองด
้วยลืมสติ
-"-
อานิสงส
์พระวินัย
พระวินัยนั้น ภิกษุรักษาโดยถูกทางย
อมไดอานิสงส์
(ผลดี) คือความไม
ตองเดือดรอนใจเรียกวา
วิปฏิสาร


อมไดความแชมชื่นเบิกบานเพราะรูสึกวาตนประพฤติดีงาม ไมตองถูกจับกุมลงโทษ หรือติ
เตียน มีแต
จะไดรับการสรรเสริญ จะเข้าหมูภิกษุผูทรงศีลก็องอาจไมสะทกสะทาน ฝายภิกษุประพฤติ
ไม
ถูกทาง ยอหยอนทางวินัย ยอมจะไดผลตรงกันขามกับที่กลาวแลว

วิปฏิสาร คือ ความเดือดรอน หมายถึงความรอนใจหลังจากการปฏิบัติผิด

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 5
ผลที่มุ
งหมายแหงพระวินัย ๘ อยาง
๑. เพื่อปองกันไม
ใหเปนคนเหี้ยมโหด เชน หามฆามนุษย์
๒. " " ความลวงโลกเลี้ยงชีพ เช
น หามอวดอุตตริฯ
๓. " " ความดุราย เช
นหามดากันตีกัน
๔. " " ความประพฤติเลวทราม เช
น หามพูดปด
๕. " " ความประพฤติเสียหาย เช
น หามแอบฟงความ
๖. " " ความเล
นซุกซน เชน หาไมใหเลนจี้กัน
๗. " " โดยเปนธรรมเนียมของภิกษุ เช
น หามฉันอาหารในวิกาล
๘. ทรงบัญญัติตามความนิยมของคนครั้งนั้น เช
น หามมิใหขุดดิน
กัณฑที่ ๓ สิกขาบท
พระบัญญัติมาตราหนึ่ง ๆ เปนสิกขาบทอันหนึ่ง ๆ สิกขาบทมาในพระปาติโมกข ตองรักษาไว

เปนหลัก มีจ
ํานวนจํากัด คือ ๒๒๗ ขอ
สิกขาบทนอกพระปาติโมกข พึงรักษาปฏิบัติตามความสามารถ มีจ
ํานวนมาก หากภิกษุทํายอหยอน
ขาดตกบกพร
องไปมาก ก็เสียธรรมเนียม หากรักษาไดมาก ก็จะสงเสริมใหนาเคารพนับถือยิ่งขึ้น
สิกขาบทในพระปาติโมกขเดิมมี ๑๕๐ ต
อมาเพิ่มอนิยต ๒
, เสขิยวัตร ๗๕ รวมเปน ๒๒๗ ผูละเมิด
สิกขาบทในพระปาติโมกข ย
อมต้องโทษ
โดยตรง ๔ คือ :-
๑. ปาราชิก
๒. สังฆาทิเสส
๓. ปาจิตตีย
๔. ปาฏิเทสนียะ
โดยออมอีก ๓ คือ :-
๑. ถุลลัจจัย
๒. ทุกกฏ
๓. ทุพภาสิต
อุทเทส ๙
๑. นิทานุทเทส วิธีอันภิกษุผูฟงพระปาติโมกขควรปฏิบัติก
อนสวดสิกขาบท
๒. ปาราชิกุทเทส สิกขาบทพวกปาราชิก ๔ ขอ
๓. สังฆาทิเสสุทเทส " สังฆาทิเสส ๑๓ ขอ
๔. อนิยตุทเทส " อนิยต ๒ ขอ
๕. นิสสัคคิยทุทเทส " นิสสัคคิยปาจิตตีย ๓๐ ขอ
๖. ปาจิตติยุทเทส " สุทธิกปาจิตตีย ๙๒ ขอ

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 6
๗. ปาฏิเทสนิยุทเทส " ปาฏิเทสนียะ ๔ ขอ
๘. เสขิยุทเทส " เสขิยวัตร ๗๕ ขอ
๙. อธิกรณสมถุทเทส " อธิกรณสมถะ ๗ ขอ
กัณฑที่ ๔ ปาราชิก
สิกขาบทที่ ๑ เสพเมถุน
ภิกษุเสพเมถุน ในทวารหนัก ทวารเบา ในปากอย
างใดอยางหนึ่งของคนชาย หรือคนหญิง หรือของ
อมนุษย
์หรือสัตวดิรัจฉาน ที่เปนอยูหรือตายแลว แตซากยังบริบูรณ์ มีอะไรสวม มีอะไรพันก็ตาม ไมมี
ก็ตาม ถูกลักในขณะหลับ ตื่นขึ้น ยินดีรับผัสสะ หรือถูกข
มขืน แตยินดีรับผัสสะก็ตาม
ตองปาราชิก
 ภิกษุเสพเมถุนในทวารดังกล
าวแลว ของมนุษย์ อมนุษย์ สัตวดิรัจฉาน แตทวารแหวงเวาไปมาก
ไม
สําเร็จกิจ และเสพในองคกำเนิดของบุรุษ
ตองถุลลัจจัย
ภิกษุเสพเมถุนในอวัยวะนอกจากทวารของมนุษย
์ อมนุษย์ และสัตวดิรัจฉาน และในอวัยวะทุก
ส่วนของตุกตา ตองทุกกฏ
(แต
มีสิกขาบทห้ามจับตองกายหญิง ฉะนั้น ภิกษุเสพเมถุน แมในอวัยวะอื่นของหญิง ตองสังฆาทิเสส
)
อนึ่ง ภิกษุ เอาปากอมองคก
ําเนิดของบุรุษ แมเปนเด็ก ก็
ตองปาราชิก
ภิกษุผูถูกลักหลับ ผูถูกข
มขืน แตไมยินดีรับผัสสะ ผูบาคลั่ง ผูเพอไมรูสึกตัว ผูมีเวทนากลา ไมมี
สติ ผูก
อเหตุใหบัญญัติสิกขาบท การทําผิดครั้งแรกนั้น
ไม
ตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๒ ถือเอาทรัพย
์อันเจาของไม่ไดให
ทรัพย
์ ๒ ชนิด คือ
๑. สังหาริมทรัพย ทรัพย
์เคลื่อนที่ได
๒. อสังหาริมทรัพย ทรัพย
์เคลื่อนที่ไมได
อีกอย
างหนึ่ง คือ
๑. สวิญญาณกทรัพย ทรัพยมีวิญญาณ
๒. อวิญญาณกทรัพย ทรัพยไม
มีวิญญาณ
ก
ําหนดเขตตองอาบัติ
๑. สังหาริมทรัพย


ําหนดด้วยฐานที่ตั้ง หรือที่แขวน เชน โตะ ๓ ขา หรือ ๔ ขา ภิกษุจงใจลัก ทํา
โต
๊ะใหพนจากที่ตั้ง เมื่อขาที่สุดพนเขต ก็ตองอาบัติถึงที่สุด แม้ของที่แขวนอยู เมื่อภิกษุจงใจลัก

ําใหเคลื่อนจากที่แขวน ก็ตองอาบัติถึงที่สุด แม้นกที่มีเจ้าของบินอยูในอากาศ ภิกษุจงใจลัก ตอนใหบิน
เคลื่อนที่จากที่เดิม พอพ
้นเขตที่เดิมก็ตองอาบัติถึงที่สุด
๒. อสังหาริมทรัพย ก
ำหนดด้วยกรรมสิทธิ์ิ์ เชน ที่ดิน ภิกษุกลาวตู เจาของสูไมได สละกรรมสิทธิ์
ภิกษุตองอาบัติถึงที่สุด ถาเจาของฟองร
้อง เมื่อศาลตัดสินใหภิกษุชนะ ในศาลสูงสุดที่คดีจบลง ภิกษุก็ต้อง
อาบัติถึงที่สุด สิกขาบทนี้เปนสาณัตติกะ
สาณัตติกะ ตองเพราะสั่งใหเขาท
ำด้วย อาบัติถึงที่สุดขณะที่ผูรับใชทําโจรกรรมสำเร็จตามสั่ง

อาณัตติกะ ไม
ตองเพราะสั่ง เชน เสพเมถุนเอง ตองปาราชิก สั่งใหเขาเสพในผูอื่น ไมตองอาบัติ
นานาภัณฑะ ของหลายสิ่ง คือหลายชิ้นรวมกัน มีราคาเปนวัตถุแห
ง ปาราชิก

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 7
เอกภัณฑะ ของมีสิ่งเดียว คือชิ้นเดียว มีราคาเปนวัตถุแห
งปาราชิก
สจิตตกะ มีจิตเจือ จงใจ ล
วงสิกขาบท จึงต้องอาบัติ
ปรับอาบัติตามราคาสิ่งของ
ของไดราคา ๕ มาสก คือราคาเท
ากับราคาทองคําหนัก ๒๐ เมล็ดขาวเปลือก ปรับอาบัติปาราชิก
ของราคาต่
ํากวา ๕ มาสก สูงกวา ๑ มาสก ปรับอาบัติถุลลัจจัย
ของราคา ๑ มาสก เท
ากับราคาทองคําหนัก ๔ เมล็ดขาวเปลือกปรับอาบัติทุกกฎ และของรา
คาต
ํ่ากวา ๑ มาสก ปรับอาบัติทุกกฏ
อวหาร คืออาการลัก ๑๓ อย
าง
คือ :-
๑. ลัก คือท
ําของใหเคลื่อนจากฐาน ดวยอาการแหงโจร
๒. ชิง หรือ วิ่งราว คือแย
งของที่เขาพาติดตัวไปแลววิ่งหนี
๓. ลักตอน คือตอนสัตวใหเดินหรือวิ่งไปเอง
๔. แย
ง
คือแย
งชิงเอาของที่เขาถือแลวตกหลนลง
๕. ลักสับ คือสับเปลี่ยนสลากในเวลาแจกของดวยสลาก
๖. ตู

คือกล
าวตูเอาอสังหาริมทรัพย เชน ที่ดิน
๗. ฉอ คือรับฝากของแลวเอาเสียเอง ไม
คืนเจาของ
๘. ยักยอก คือผูมีหนาที่รักษาเรือนคลัง ลักของออกพ
้นจากเขตที่ตนรักษา
๙.ตระบัด
1
(สุงกฆาตะ) พาของหนีด
านภาษี
๑๐. ปลน ชักชวนกันท
ําโจรกรรม
๑๑. หลอกลวง
2
คือท
ําเงินปลอม
, ท
ําทองปลอม
, ใช
้เครื่องชั่งโกง เครื่องตวงโกง เครื่องวัดโกง
๑๒. กดขี่ คือใชอ
ํานาจขมเหงเอาทรัพยผูอื่น เรียกวากรรโชกก็มี
๑๓. ลักซ
อน
คือเห็นของท
ําตก จึงเอาใบไมเปนตนปดบัง แลวเอาเสีย
๑๔. (ในเบญจศีล) เบียดบัง ไดแก
ถือเอาเศษ เชน ผูมีหน้าที่ เก็บคาเชา ครั้นเก็บได้แลวสงเจาของไม่หมด
สิกขาบทที่ ๓ แกล
้งฆามนุษย์
มนุษยในสิกขาบทนี้ นับตั้งแต
ปฏิสนธิในครรภมารดาเปนตนมา
การฆ
ามนุษย จะฆาเอง หรือใชใหฆา หรือพรรณนาคุณแหงความตายใหผูนั้นฆาตัวตาย ก็ชื่อวาฆา
วิธีฆ
า
๑. ฟน ตี แทงฆ
า เปนตน
๒. ซัดไป เช
น ยิง หรือพุง หรือขวางไป
๓. วางไว เช
น วางขวาก วางระเบิด วางยาพิษ
๔. ท
ําร้ายด้วยวิชา เชน คาถาอาคม ภูตผี
1
ในเบญจศีล ว่า ตระบัด ได
้แก่ยืมของเขาแล้ว ไม่ส่งคืน
2
ในเบญจศีล : หลอก ได
้แก่พูดปด ถือเอาของผู้อื่น
, ลวง ได
้แก่ถือเอาของผู้อื่นด้วยการใช้เครื่องชั่ง
-ตวง-วัด โกง, ปลอม
ได
้แก่ทำเงิน
-ทอง-ของปลอม

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 8
๕. ท
ําร้ายชีวิต เชน ผูมีฤทธิ์บันดาลดวยฤทธิ์ใหผูอื่นตาย หรือปลอยสัตวที่มีฤทธิ์ เชน งู เสือ หรือฉีด
พิษเขาเสนโลหิต
อาบัติเพราะฆ
า
๑. ฆ
ามนุษย์ตาย ตองปาราชิก เกือบตาย ตองถุลลัจจัย
๒. ฆ
าอมนุษย เชน ยักษ เปรต ตาย ตองถุลลัจจัย
๓. ฆ
าสัตวดิรัจฉานตาย ตองปาจิตตีย
๔. ฆ
ามนุษย หรืออมนุษย หรือเดรัจฉาน บาดเจ็บเล็กน้อยหรือพยายามฆาตัวเอง ตองทุกกฏ
(แต
มีสิกขาบปรับอาบัติปาจิตตียแกภิกษุโกรธแลวทุบตีภิกษุและอีกสิกขาบทหนึ่ง ปรับอาบัติปาจิต
ตียแก
ภิกษุผูโกรธ แล้วเงื้อมือทําทาจะตอยตี ตองอาบัติปาจิตตีย ดูในสหธรรมิกวรรคที่ ๘ สิกขาบทที่ ๔
, ๕)
สิกขาบทที่ ๔ อวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม
มีในตน

ําวา อุตตริมนุสสธรรม ได้แกธรรมอันยิ่งของมนุษย มี ๖ อยาง คือ
:-
๑. ฌาน
๒. วิโมกข (วิมุตติ) จิตหลุดพ
้นจากกิเลส
๓. สมาธิ
๔. สมาบัติ
๕. มรรค
๖. ผล
เมื่อย
นกลาวมีจริง ๒ คือ
๑. อัปปนาสมาธิ ไดแก
ฌาน ๔
๒. โลกุตตรธรรม ๙ ไดแก
มรรค ๔
, ผล ๔, นิพพาน ๑
ค
ําวา
" อวด " มีอาการ ๓ อย
าง
๑. อวด (โกหก) อวดตรง ๆ กับคนคนเดียว ว
าข้าพเจาถึงธรรมอยางนั้น ๆ ถาผูนั้นเขาใจคําพูด ตอง
ปาราชิก, ถาไม
เขาใจ ตองถุลลัจจัย
๒. อวดตรง ๆ กับคนมาก ถาเขาเขาใจค
ําพูดแม้เพียงคนเดียวก็ตองปาราชิก
, ถาไม
เขาใจ ต้องถุลลัจจัย

๓. อวดโดยออม คืออ
้างลักษณะก็ดี อางบริขารเปนตนก็ดี วาภิกษุมีรูปรางเชนนั้น ๆ ใชบาตรเช่นนั้น ๆ
โดยหมายใจใหผูฟงเขาใจว
าตนได้บรรลุธรรมเชนนั้น ๆ ถาผูฟงเขาใจ ตองถุลลัจจัย ถาไมเขาใจต้องทุกกฏ
การอวดทั้ง ๓ อย
างนี้ ผูฟงจะเชื่อหรือไมเชื่อไมเปนประมาณ แตถืออาการเขาใจหรือความไมเขา
ใจเปนประมาณ
สิกขาบทนี้ เปนสจิตตกะ
เชื่อหรือไม
 ไมสําคัญ
ตัวอย
างคําถาม
ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรมแก
คนหลายคน เขาเชื่อบาง ไมเชื่อบ้าง อยากทราบวา ผู้
อวดต
้องอาบัติอะไร
?
ตอบ ถาไม
มี อวด เขาเขาใจแม้คนเดียว ตองปาราชิก
ถาเขาไม
เขาใจ ตองถุลลัจจัย

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 9
ถามี, อวดแก
อนุสัมบัน ตองปาจิตตีย
ถามี, อวดแก
ภิกษุ ไมตองอาบัติ เขาจะเชื่อหรือไม ไมเปนประมาณ
กัณฑที่ ๕ สังฆาทิเสส
สิกขาบทที่ ๑ แกลงท
ําใหน้ําอสุจิเคลื่อน

สิกขาบทนี้ เปนสจิตตกะ ภิกษุแกลงท
ําด้วยอาการอยางใดอยางหนึ่ง ยอมมีโทษ คือ
:-
ก. ถาแกลงท
ํา อสุจิเคลื่อน ตองสังฆาทิเสส
ข. ถาแกล
้งทํา อสุจิไมเคลื่อน ตองถุลลัจจัย
หมายเหตุ ถาไม
แกลงทํา อสุจิเคลื่อนเอง
(ฝน) ไม
ตองอาบัติ
อนึ่ง สิกขาบทนี้ เปน อนาณัตติกะ ไม
ตองอาบัติ เพราะสั่ง ใหคนอื่นทํา แตถาสั่งใหทําแกตน คือ
แก
ผูสั่ง ไมพนอาบัติ
สิกขาบทที่ ๒ จับตองกายหญิง
สิกขาบทนี้ เปนสจิตตกะ
ภิกษุมีความก
ําหนัดอยู แกลงจับตองกายหญิงมนุษย แมเปนเด็กแรกเกิด หรือคนแกเฒาก็ตาม
เฉพาะที่ยังมีชีวิตอยู
 มีโทษดังนี้ คือ
:-
ก. กายต
อกาย แมปลายขนถูกต้องกัน ตองสังฆาทิเสส แตถาเขาใจผิด คิดวาไมใชผูหญิง ต้องถุลลัจจัย
ข. กายกับของเนื่องดวยกาย ถูกกัน ตองถุลลัจจัย แต
ถาเขาใจผิดคิดวาไมใชผูหญิง ตองทุกกฏ
ค. ของเนื่องดวยกายกับของเนื่องด
้วยกายถูกกัน หรือปาสิ่งของไปใหถูกกัน ตองทุกกฏ แมเขาใจผิด
ก็ตองทุกกฏ
หมายเหตุ :-
ผูหญิงเปนวัตถุแห
งสังฆาทิเสส บัณเฑาะกหรือกะเทย เปนวัตถุแหงถุลลัจจัย บุรุษ สัตว์เดรัจฉาน
ตัวเมีย เปนวัตถุแห
งทุกกฏ
จับหญิงคนเดียว ครั้งเดียว ไม
ปลอย แมตลอดวันตลอดคืน ก็ตองอาบัติตัวเดียว
 จับหญิงหลายคนในขณะเดียวกัน ตองอาบัติเท
าจํานวนคน
จับตองโดยไม
แกลง ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๓ พูดเกี้ยวหญิง
สิกขาบทนี้ เปนสจิตตกะ
ภิกษุมีความก
ําหนัดอยู พูดเกี้ยวหญิงผูรูเดียงสา มีโทษดังนี้
:-
ก. พูดพาดพิงทวารหนัก ทวารเบา เมถุน ตองสังฆาทิเสส
ข. พูดพาดพิงอวัยวะเหนือเข
าขึ้นไป ใตไหปลาราลงมา ใตขอศอกเขาไป ตองถุลลัจจัย
ค. พูดพาดพิงอวัยวะนอกนั้น ตองทุกกฏ
อนึ่ง หญิงผูรูเดียงสา เปนวัตถุแห
งสังฆาทิเสส
, บัณเฑาะก เปนวัตถุแห
งถุลลัจจัย
, บุรุษ เปนวัตถุแห่ง
ทุกกฏ, พูดกับคนคนเดียว ตองอาบัติตัวเดียว, พูดกับคนมากคน ตองอาบัติเท
าจํานวนคน

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 10
สิกขาบทที่ ๔ พูดล
อให้หญิงบําเรอตนดวยกาม

สิกขาบทนี้ เป
็น
สจิตตกะ
ภิกษุก
ําหนัดอยู พูดลอใหหญิงผูรูเดียงสาใหบําเรอตน คือ ชวนเสพเมถุนธรรม
, หญิงเขาใจ ตองสังฆ
าทิเสส, ถาหญิงไม
เขาใจ ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๕ ชักสื่อชายหญิงใหเปนผัวเมียกัน
ภิกษุชักสื่อชายหญิงใหเปนผัวเมียกัน โดยชอบดวยกฏหมายก็ตาม ไม
ชอบก็ตาม ยอมมีโทษดังนี้
:-
ก. รับค
ําของฝายหนึ่ง หรือถ้าตนจัดการเอง บอกแกฝายหนึ่ง ตองถุลลัจจัย
ข. ไปบอกแก
อีกฝายหนึ่ง ตองสังฆาทิเสส

ําวา
ฝายหนึ่ง ๆ นั้น หมายเอาเจาตัวเขาเอง หรือผูปกครองของเขา
สิกขาบทนี้ เปนสาณัตติกะ สั่งใหเขาท
ําแทนตน ก็ไมพนอาบัติ
ภิกษุหลายรูปรับความแลวบอกเพียงรูปเดียว ก็ตองอาบัติทุกรูป
สิกขาบทนี้ เปนอจิตตกะ ผัวเมียเขาหย
าขาดกันแลว ภิกษุไมรู้พูดเกลี้ยกลอมใหเขาคืนดีกัน กลับเป็น
ผัวเมียกัน ก็ไม
พนอาบัติ
สิกขาบทที่ ๘ แกลงโจทภิกษุอื่นดวยอาบัติปาราชิกไม
มีมูล
อธิกรณ
์ไม่มีมูล คือ เวนจากไดเห็น ไดฟง ไดรังเกียจ
ค
ําโจท
เปนค
ํากลาวหา มีลักษณะ ๔ คือ
:-
๑. เล
าเรื่องที่ทํา
๒. ระบุอาบัติ
๓. หามสังวาส
๔. หามสามีจิกรรม
การโจท
๑. ในคัมภีรวิภังคว
า โจททางวาจา ตอหนาผูตองโจท
๒. สมเด็จ ฯ ว
าโจทดวยกาย คือเขียนหนังสือ หรือโจทดวยวาจา คือบอกพูดตอเจาหนาที่ จึงชื่อว่า
โจทต
อหนา
การตองอาบัติ อธิกรณไม
มีมูล ผูโจทตองอาบัติสังฆาทิเสส
อธิกรณมีมูลเพลาท
ําใหมั่นเขา ผูโจทกตองสังฆาทิเสสเหมือนกัน
, แมผูตองโจทตองอาบัติปาราชิก
แล
้ว แตผูโจทกไมรู โจทด้วยอธิกรณอันไมมีมูล ซึ่งมีโทษถึงปาราชิก ผูโจทกตองสังฆาทิเสส สิกขาบทนี้
ไม
มีบุพพประโยค และเปนสาณัตติกะ
สิกขาบทที่ ๙ แกลงหาเลสโจทภิกษุอื่นดวยอาบัติปาราชิก
เลส คืออาการที่อางเอาเปนอุบาย มี ๒ อย
าง คือ
:-
๑. เปนเรื่องของภิกษุอื่น เช
น เห็นคนมีผิวอยางนั้น ๆ สันนิษฐานอยางนั้น ๆ ทําการเชนนั้น ๆ ผูนั้น
จะเปนภิกษุหรือไม
ใชภิกษุก็ตาม

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 11
๒. เป
็นเรื่องของของภิกษุผูจําเลยเอง เชน รูวาจําเลยประพฤติลวงสิกขาบทบางขอ แตไมถึงปาราชิก
โจทให
้แรงถึงปาราชิก
สิกขาบทที่ ๑๐ พากเพียรเพื่อท
ําลายสงฆใหแตกกัน
สงฆ

หมายถึงภิกษุทั้งหมู
ผูอยูในสีมาเดียวกัน
อธิกรณ

ในสิกขาบทนี้ คือ วิวาทากรณ ได
้แก่ การเถียงกันวา นั่นธรรม นั่นวินัย นั่นมิใชธรรม นั่นมิใชวินัย
ภิกษุผูพากเพียรท
ําลายสงฆ คือ พยายามกอเรื่องใหเกิดขึ้นในหมูสงฆ เพื่อใหแตกแยกกันดวยอากา
รอย
างใดอยางหนึ่ง ภิกษุผูรูเรื่องตองหาม ถาไมหาม ตองทุกกฏ ภิกษุผูพยายามกอเรื่อง เมื่อถูกหาม
ปรามในคราวแรก ถาเลิกเสียไดไม
ตองอาบัติ
, ถาไม
เลิกตองอาบัติทุกกฏ
, ตั้งแต
ถูกหามปรามครั้งที่ ๒
เรื่อยไปทุกครั้ง จนถึงสงฆสวดญัตติจบ ตองอาบัติทุกกฎ ทุกคราวที่ภิกษุหามปรามและสงฆเตือน, เมื่อ
สงฆสวดอนุสาวนา จบคราวที่ ๑ และที่ ๒ ตองอาบัติถุลลัจจัยทั้งสองคราว เมื่อสงฆสวดอนุสาวนาครั้งที่
๓ จบ ตองสังฆาทิเสส
ถากรรมไม
เป็นธรรม คือ ทําไมถูกวิธี ปรับไดเพียงอาบัติทุกกฎเทานั้น
สิกขาบทนี้ เปนอจิตตกะ ในกรรมเปนธรรม เขาใจถูกก็ดี แคลงอยู
ก็ดี เขาใจผิดก็ดี ไมสละ เป็นสังฆ
าทิเสสเหมือนกัน
สิกขาบทที่ ๑๑ ประพฤติตามภิกษุผูท
ําลายสงฆ
ภิกษุผูประพฤติตามซึ่งภิกษุผูท
ําลายสงฆนั้น ภิกษุอื่นหามไมฟง คือไมเชื่อฟงหรือไมเลิก สงฆ์สวด
กรรมเหมือนอย
างสิกขาบทกอน ภิกษุนั้นตองอาบัติตาง ๆ อยางเดียวกับสิกขาบทกอน ขอที่ควรจดจํา
อันแตกต
างออกไป คือ
:-
ถาภิกษุผูประพฤติตามมีหลายรูป ตั้งแต
 ๔ รูปขึ้นไป สงฆจะสวดกรรมแกภิกษุเหลานั้นคราวเดีย
วกันไม
ได ตองแยกออกสวดคราวละไมเกิน ๓ รูป
สิกขาบทที่ ๑๒ ว
ายากสอนยาก
ภิกษุว
ายากสอนยาก
(หัวดื้อ) คือ ถูกภิกษุอื่นกล
าวเตือนโดยถูกตองในกรณีที่เธอทําผิด เกี่ยวกับ
สิกขาบทอันมาในพระปาติโมกข ถาเธอไม
เชื่อฟงก็จะตองถูกสงฆเตือนและสวดกรรม เธอจะตองอาบัติ
ต่าง ๆ เหมือนสิกขาบทที่ ๑๐
สิกขาบทที่ ๑๓ ประทุษรายสกุล
ภิกษุประทุษรายสกุล คือ ประจบคฤหัสถ ไดแก
ทํางานยอมตนใหเขาใชสอยอยางคฤหัสถ หรือดว
ยอาการเอาเปรียบ ใหสิ่งของเพียงเล็กนอย หวังไดมาก
ภิกษุมีความประพฤติเลวทราม คือ ประพฤตินอกทางของสมณะ เช
นทําสุงสิงกับหญิงสาวในสกุล
,
เล่นการพนัน เล
นซุกซน เลนตลกคะนอง รองรําทําเพลง ภิกษุเชนนี้ถูกสงฆลงปพพาชนียกรรม คือขับเสีย
จากวัด เพื่อใหรูสึกตัว แต
เธอกลับติเตียนสงฆวา ลุอํานาจอคติ ๔
ภิกษุอื่นหามปราม ถาไม
ละ สงฆตักเตือน ถาไมละ สงฆสวดกรรมเธอก็จะตองอาบัติตาง ๆ เหมือน
สิกขาบทที่ ๑๐
สิกขาบทที่ ๑ ถึง ๙ เรียก ปฐมาปตติกะ คือตองอาบัติสังฆาทิเสส ในขณะท
ําสําเร็จ

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 12
สิกขาบทที่ ๑๐ ถึง ๑๓ เรียก ยาวตติยกะ คือ ตองอาบัติสังฆาทิเสส ต
อเมื่อสงฆสวดประกาศหาม
ครบ ๓ ครั้ง (มี ๔ เที่ยว เที่ยวแรกเปนค
ําเตือนยังไมนับ
)
วิธีออกจากอาบัติสังฆาทิเสส
๑. ตองอาบัติแลวรีบบอกภิกษุรูปใดรูปหนึ่งทันที อย
าใหลวงราตรี เวนไว้แตมีเหตุขัดของจริง ๆ
๒. ขอมานัตในสงฆ ๔ รูป แลวประพฤติมานัต ๖ ราตรี
๓. ถาปดอาบัติไวกี่วันก็ตองอยู
ปริวาสเทานั้นวันกอน ครบแลวจึงประพฤติมานัติ ๖ ราตรี
๔. ประพฤติมานัตครบแลว ขออัพภานในสงฆ ๒๐ รูปขึ้นไป ครั้นสงฆสวดอัพภานจบแลว จึงกลับ
เป
็นภิกษุบริสุทธิ์ตามเดิม
อาบัตินี้ เรียก ครุกาบัติ คือ อาบัติหนัก ฝายแกได, เรียกทุฏฐุลลาบัติ คือมีเรื่องหยาบคายมาก, เรียก
วุฏฐานคามินี คือ พนไดดวยอยู
กรรม
อนิยต ๒
สิกขาบทที่ ๑ นั่งในที่ลับตากับหญิง
ก. ภิกษุรูปเดียวนั่งหรือนอนในที่ลับตากับหญิงคนเดียว ไม
มีคนที่ ๓
ข. มีคนที่ควรเชื่อไดพูดขึ้นดวยอาบัติ ๓ อย
าง คือ
:-
ปาราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย อย
างใดอยางหนึ่ง หรือ ทั้งสองอยาง หรือทั้งสามอยาง
ค. ภิกษุรับอย
างใด พระวินัยธรควรปรับอยางนั้น
วิธีนี้ใชในอธิกรณที่ไม
มีพยานโจทก หรือของผูพูดขึ้น และผูพูดขึ้นนั้น มิไดระบุชัดวาทําอยางไร
กันบาง
ฆ. ถาผูพูด พูดชัดว่าท
ำอยางนั้น ๆ แมภิกษุไมรับ พระวินัยธรควรพิจารณาตามรูปความและฟงคํา
พยาน ในเมื่อจ
ําเลยปฏิเสธขอหา แลวปรับอาบัติตามควร
สิกขาบทที่ ๒ นั่งในที่ลับหูกับหญิง
ก. ภิกษุรูปเดียวนั่งหรือนอนในที่ลับหูกับหญิงคนเดียว
ข. มีคนที่ควรเชื่อได มาพูดขึ้นดวยอาบัติ ๒ อย
าง คือ
:-
สังฆาทิเสส หรือ ปาจิตตีย อย
างใดอยางหนึ่ง หรือทั้งสองอยาง
ค. ภิกษุรับอย
างใด ก็ปรับอยางนั้น
ง. เขาว
าจําเพาะอาบัติอยางใด ก็พิจารณาตามรูปความและสอบถามคําพยานที่พอฟงได ก็ปรับ
อาบัติตามสมควร
ทั้ง ๒ สิกขาบทนี้ เปนแบบส
ําหรับพิจารณาอธิกรณเกี่ยวกับผูหญิง ถาไมมีผูอื่นเปนพยาน ควรฟังเอา

ําของภิกษุ ถามีพยานเปนหลักฐานพอฟงไดเชื่อได แมจําเลยปฏิเสธ ก็ปรับอาบัติได้

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 13
กัณฑที่ ๖ นิสสัคคิยปาจิตตีย
จีวรวรรคที่ ๑
สิกขาบทที่ ๑ ทรงอติเรกจีวรไดเพียง ๑๐ วัน
๑. กฐินเดาะ คือ กฐินสิ้นสุด ขาดสิทธิที่จะไดรับประโยชนแห
งการไดกรานกฐินดวยเหตุ ๒ อยาง คือ
:-
ก. สิ้นอาวาสปลิโพธ หมดห
วงการกลับวัด
ข. สิ้นจีวรปลิโพธ หมดห
วงในการทําจีวร
๒. อติเรกจีวร คือ จีวรที่เหลือจากไตรจีวร หรือ นอกจากอธิษฐานจีวร จีวรอธิษฐาน, หรือนอกจาก
ไตรครอง
๓. ทรงอติเรกจีวร คือ ถือกรรมสิทธิ์ในอติเรกจีวร
๔. ทรงอติเรกจีวรไวได ๑๐ วันเปนอย
างยิ่ง หมายความวา ตองวิกัปตอภิกษุอื่นกอนหมดเขต ๑๐ วัน
๕. ถาล
วง ๑๐ วันไป หมายความวา ถาไมวิกัป ปลอยใหอรุณที่ ๑๑ ขึ้น ก็ตองอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย

๖. แต
ถาภิกษุอยูจําพรรษาตลอด พรรษาไมขาด ไดยืดเวลาออกไป ๑ เดือน คือแรม ๑ ค่ํา เดือน
๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่
ํา เดือน ๑๒
, และถาไดกรานกฐิน ก็ยืดออกไปอีก ๔ เดือน คือแรม ๑ ค่
ํา เดือน ๑๒ ถึง
ขึ้น ๑๕ ค่
ํา เดือน ๔
๗. สิกขาบทนี้ เปนอจิตตกะ แมนับวันพลาดเกินก
ําหนด ก็ตองอาบัติ
๘. ผายาว ๘ นิ้ว กว
้าง ๔ นิ้วขึ้นไป ตองวิกัป เพราะประกอบเขานุงหมได ถือเปนอติเรกจีวร
, ส
วน
ผาที่เปนสีอื่น ๆ และลักษณะอื่น ๆ ที่พระไม
นิยมใช ไมนับเปนจีวร
สิกขาบทที่ ๒ อยู
ปราศจากไตรจีวรแมคืนหนึ่ง
๑. ไตรจีวร คือ ผา ๓ ผืน อันไดแก
 อันตรวาสก ผานุง
, อุตราสงค ผาห
ม
, สังฆาฏิ ผาคลุม, ทั้งหมดนี้
ทรงอนุญาตให
้อธิษฐานตั้งแตวันบวช จึงเรียกวา จีวรอธิษฐานก็ได ไตรครองก็ได
๒. ภิกษุอยู
ปราศจากไตรจีวร
คือ อยู
นอกเขตที่เก็บไตรจีวร
เขตเก็บไตรจีวร พึงทราบต
อไปดังนี้
:-
ก. กุฎี วิหาร ศาลา เรือน หรืออาคารต
าง ๆ มีบริเวณคือเครื่องลอม ภิกษุรูปเดียวกําหนดเอาเครื่อง
ลอม ถาไม
มีเครื่องลอมกําหนดเอาเฉพาะหลังหนึ่ง
ข. กุฎี ฯ ล ฯ มีบริเวณ ภิกษุ ๒ รูปขึ้นไป ก
ําหนดเอากุฎีเฉพาะหลังที่ตนอยู ถาไมมีบริเวณ กําหนด
เอาหองที่เก็บผา
ค. กุฎี ฯ ล ฯ หองเดียว ภิกษุ ๒ รูปขึ้นไป ก
ําหนดเอาหัตถบาส คือระหวางผากับภิกษุไมเกิน ๑ ศอก
ฆ. โคนไมมีเครื่องลอม ก
ําหนดเอาเครื่องลอม ถาไมมีเครื่องลอม กําหนดเอาบริเวณเงาที่แผเวลา
เที่ยง ถาภิกษุ ๒ รูป อยู
โคนไมเดียวกัน ก็กําหนดเอาหัตถบาส
ง. ที่แจง ก
ําหนดเอาหัตถบาส
ภิกษุเก็บไตรจีวรไวในเขตใด ตนตองอยู
ในเขตนั้น ถาไมอยู ชื่อวาอยูปราศจากไตรจีวร

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 14
๓. ค
ําวา
สิ้นราตรีหนึ่ง หมายความว
า พอจวนเวลาอรุณขึ้น ภิกษุตองเขาในเขตเก็บผา เวลาอื่น
ไม
นับ ถาจวนอรุณขึ้น ภิกษุไมอยูในเขตเก็บผาจนถึงอรุณขึ้น ก็ชื่อวาอยูปราศจากไตรจีวรสิ้นราตรีหนึ่ง ก็
ตองอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย เวนไวแต
ไดสมมติ
๔. ค
ําวา
เวนไว
้แตไดสมมติ
คือ ทรงอนุญาตเพื่อสงฆใหสมมติแก
ภิกษุผูอาพาธอยูปราศจากไตรจีวรได
สิกขาบทนี้บัญญัติใหภิกษุไม
อยูปราศจากไตรจีวรทุกคืน แตมีพุทธานุญาตใหอยูปราศจากผืนใดผืน
หนึ่งไดในกาลและสถานที่ต
อไปนี้
:-
ก. ถาจ
ําพรรษาตลอด พรรษาไมขาด ครั้นปวารณาแลวอยู่ปราศจากจีวรผืน ๑ ได้ ไมใชทั้ง ๓ ผืน
)
จนถึงกลางเดือน ๑๒, ถาไดกรานกฐิน ก็ยืดเวลาออกไปถึงกลางเดือน ๔
ข. อยู
ในเขตสมานสังวาสสีมา สีมาที่ไดสมมติจีวรวิปปวาส
ค. ในคราวเปนไข และไดรับสมมติจากสงฆ
สิกขาบทที่ ๓ เก็บอกาลจีวรไวไดเพียงเดือนหนึ่ง
๑. อกาลจีวร คือ ผาที่เกิดขึ้นนอกเขตกาลจีวร (แรม ๑ ค่
ํา เดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๒ เป็นเขต
กาลจีวร) และนอกเขตอานิสงสกฐิน (แรม ๑ ค่
ํา เดือน ๑๒ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ํา เดือน ๔ เปนเขตอานิสงสกฐิน
)
๒. ถาภิกษุประสงคจะท
ําจีวรดวยผาอกาลจีวร แตผานั้นมีนอยไมพอ ก็เก็บรอผาอื่นไมเกิน ๑ เดือน
นับจากวันไดผามา
๓. ถาไม
ประสงค์จะทําจีวร หรือไมมีที่หวังวาจะไดอีกภายใน ๑ เดือน ก็เก็บไวไดไมเกิน ๑๐ วัน
(เหมือนอติเรกจีวร)
๔. ถาไดผาใหม
มาเติมพอจะทําจีวรได พึงกําหนดอายุผาที่เก็บไวเดิม และอายุของผาที่ไดใหม ขางใด
อายุนอย พึงรีบท
ําใหทันอายุของขางนั้น เชน เดิมเก็บไว ๑๕ วัน แลวจึงไดผาใหมมา ก็นับเอาอายุของ
ผาใหม
 คือ ไมเกิน ๑๐ วัน
, อีกอย
างหนึ่ง เดิมเก็บไว ๒๒ วันแลว ไดผาใหมมา นับอายุของผาเกา คือ
ไม
เกิน ๘ วัน
๕. ถาไดผาใหม
มาในเวลาจะสิ้นกําหนด จะทําจีวรก็ไมทันก็ใหวิกัปทั้งผาใหมและผาเกา เหมือนอย่าง
อติเรกจีวร
สิกขาบทที่ ๔ ใชใหซัก-ยอม-ทุบซึ่งจีวรเก
า
๑. ใช
้นางภิกษุณี ผูไมใชญาติใหทํา ๓ อยาง คือ ซัก
, ยอม, ทุบ อย
างใดอยางหนึ่ง ซึ่งจีวรเกา ตองนิส
สัคคิยปาจิตตีย ถาใชพรอมกันทั้ง ๓ อย่าง เขาท
ํา
อย
างแรก
ภิกษุตองนิสสัคคิยปาจิตตีย, เขาท
ํา
อย
างหลัง
ภิกษุตองทุกกฏ
๒. ใช
้หญิงอื่นนอกจากภิกษุณี ไมพนนาเกลียด ควรเวน
๓. ใชใหซัก ยอม ทุบ จีวรใหม
 หรือใหซักบริขารอื่นหรือเขาทําเอง หรือใชภิกษุณีผูเป็นญาติ ไมตองอาบัติ
๔. จีวรเก
า
หมายถึงผานุ
งหมที่ใชแลวแม้คราวเดียว
สิกขาบทที่ ๕ รับจีวรแต
มือภิกษุณีที่มิใชญาติ
สิกขาบทนี้ตองเพราะท
ํา และตองเพราะไมทํา
คือ รับจีวรจากภิกษุณี แต
ไมแลกเปลี่ยนกัน

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 15
สิกขาบทที่ ๖ ขอจีวรต
อคฤหัสถผูมิใชญาติ มิใชปวารณา
๑. คฤหัสถ ผูมิใช่ญาติ คือ ผูมิได
้เกี่ยวเนื่องกันภายใน ๗ ชั่วโคตร
, ค
ําวา ๗ ชั่วโคตรนั้น คือ นับระดับ
ตนเองเปน ๑, นับขึ้นไป ๓ ชั้น คือ บิดา ปู ทวด, แลวนับลงมา ๓ ชั้น คือ ลูก หลาน เหลน, จึงรวมเปน ๗
ชั้น, ส
วนภรรยา เขย หรือ สะใภ ถามิไดเกี่ยวเนื่องกันภายใน ๗ ชั่วโคตร ก็มิใชญาติ
๒. คฤหัสถ

มิใช
คนปวารณา
คือ คนมิไดสั่งไวว
าใหบอกใหขอ
ติกปาจิตตีย (เปนนิสสัคคิยปาจิตตียทั้ง ๓ อย
าง คือ
)
เขามิใช
ญาติ ๑
. ภิกษุรูอยู
 ๒
. แคลงอยู

. ๓. ส
ําคัญผิด ขอในมิใชสมัย ตองนิสสัคคิยปาจิตตีย
เขาเป
็นญาติ ภิกษุสำคัญวา มิใช หรือแคลงอยู ขอในมิใช่สมัย ตองทุกกฏ
เขาเปนญาติ ภิกษุรูอยู
 ขอไดเสมอ ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๗ ในสมัยเช
นนั้น ขอไดเพียงผานุงผาหมเทานั้น
๑. ค
ําวา ในสมัยเชนนั้น คือ เวลาถูกลักจีวร หรือจีวรชํารุด ดวยเหตุอยางใดอยางหนึ่ง ใชนุงหมไมได
พึงขอเขาไดตามก
ําหนดนี้ คือ
:-
ถาหาย ๓ ผืน ขอไดเพียง ๒ ผืน, ถาหาย ๒ ผืน ขอไดเพียง ๑ ผืน, ถาหาย ๑ ผืน หามขอ
๒. ถาขอเกินก
ําหนด ตองทุกกฎขณะขอ ตองนิสสัคคิยปาจิตตีย ในขณะไดผามา
สิกขาบทที่ ๘ รูว
าเขาจะถวายจีวร เขาไปพูดใหถวายจีวรดี
-แพง
ภิกษุรูอยู
วา เขาจะถวายจีวร เขาไปหาเขาพูดแนะนําใหถวายจีวรที่ดีกวาแพงกวาที่เขากําหนดไวเดิม
ถาเขาจ
ายทรัพยตามคําแนะนํา ภิกษุตองทุกกฎ และเมื่อไดผามา ตองนิสสัคคิยปาจิตตีย
สิกขาบทที่ ๙ รูว
าหลายคนจะถวายจีวร เขาไปพูดใหรวมกันซื้อจีวรที่ดีกวา แพงกวา
ภิกษุรูอยู
วา หลายคนจะถวายจีวรคนละผืน พูดแนะนําใหเขารวมกันซื้อจีวรเพียงผืนเดียว ที่มีราคา
แพงกว
า ดีกวา หรือวาถูกกวาแตดีกวา
, ตองทุกกฎ เพราะเขาจ
ายตามคําแนะนํา
, และตองนิสสัคคิย-
ปาจิตตีย เพราะไดมา
สิกขาบทที่ ๑๐ ทวงจีวรจากไวยาวัจกร
ถาใครน
ําทรัพยคาจีวรมาถวาย ภิกษุไมพึงรับ พึงบอกใหเขารูจักไวยาจักร ครั้นเขามอบแกไวยาวัจกร
แลว สั่งใหภิกษุไปหาเขา เขาจะใหจีวร เวลาตองการภิกษุไปหาเขา ทวงว
า เราตองการจีวร ไมเกิน ๓ ครั้ง
ถาไม
ได ไปยืนไมเกิน ๖ ครั้ง ถายังไมได ตองบอกแกเจาของเดิม
อาบัติ-อนาบัติ
๑. ถาพยายามเกินก
ําหนด ไดมา ตองนิสสัคคิยปาจิตตีย
๒. ถาพยายามครบก
ําหนดแลวยังไมได ตองบอกแกเจาของเดิม ถาไมบอก ตองทุกกฏ
๓. ถาพยายามครบก
ําหนดแลวยังไมได ก็เลิกเสีย และไดไปบอกแกเจาของเดิมแลว
, ภายหลัง
ไวยาวัจกรจัดมาถวายเอง หรือเจาของเดิมทวงคืนมา แลวถวายเอง ภิกษุรับได ไม
ตองอาบัติ

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 16
โกสิยวรรคที่ ๒
สิกขาบทที่ ๑ หล
อสันถัตดวยขนเจียมเจือดวยไหม
สันถัต คือ ผารองนั่งของพระ (ไม
ไดทอ ใช้หลอ
)
เปนของหล
อดวยขนเจียม คือ ขนแกะ หรือขนสัตวชนิดหนึ่งในจําพวกกวาง
สิกขาบทนี้ เปนอาบัติโดยอาการ ๔ คือ :-
๑. ภิกษุท
ําเองตั้งแตตนจนสําเร็จ
๒. ใชผูอื่นท
ําตั้งแตตนจนสําเร็จ
๓. ตนท
ําคาง ใชผูอื่นทําตอจนสําเร็จ
๔. ใชผูอื่นท
ําคางไว ตนทําตอจนสําเร็จ
เปนนิสสัคคิยะทั้งนั้น เรียก จตุกกนิสสัคคิยปาจิตตีย
ไดของที่คนอื่นท
ําไวแลว ใชสอย ตองทุกกฏ
ใชเป
็นของอื่น ไมรองนั่ง ไมเปนอาบัติ
สิกขาบทที่ ๘ รับ ใหรับ ยินดี ซึ่งทองและเงิน
เงินทองแท และของใชแทนเงินทอง ส
ําหรับจายซื้อของไดเรียก
รูปยะ ภิกษุรับเองก็ดี ใชผูอื่นรับก็ดี
ยินดีเงินทองที่เขาเก็บไวเพื่อตนก็ดี ตองนิสสัคคิยปาจิตตีย ตองสละแก
สงฆ
, เพราะมีขอหามไวว
ายินดี
ก็ไม
ได ฉะนั้น อยาถือกรรมสิทธิ์ในเงินทองนั้น แตถือเอากรรมสิทธิ์ในอันจะไดของเปน
กัปปยะ จากเงิน
ทองนั้นไดอยู

ปตตวรรคที่ ๓
สิกขาบทที่ ๑ ทรงอติเรกบาตรไวได ๑๐วัน
อติเรกบาตร ภิกษุตองวิกัปเหมือนอติเรกจีวร ภายใน ๑๐ วัน แต
ไมไดอนุญาตใหเก็บไวเกิน ๑๐ วัน
ไม
วากรณีใด ๆ
สิกขาบทที่ ๒ บาตรราวไม
ถึง ๑๐ นิ้ว ขอใหม
บาตรร
้าวแผลยาว ๒ นิ้ว ๕ แผลรวมได ๑๐ นิ้ว จึงขอใหมได ถายังไมถึง ๑๐ นิ้ว ขอไดมา ตอง
นิสสัคคิยปาจิตตีย ตองสละในสงฆเหมือนกัน
สิกขาบทที่ ๓ รับประเคนเภสัช ๕ ไวฉันไดเพียง ๗ วัน
เภสัช ๕ อย
างใดอยางหนึ่ง เปนนิสัคคิยะ ภิกษุตองสละเมื่อไดคืนมาหามฉัน
, ภิกษุอื่นก็ฉันไม
ได
, ทุก
รูปจะเอาใชในกิจอื่นได, เฉพาะภิกษุผูเปนเจาของเอาทาตัวก็ไม
ได
, แต
ภิกษุอื่นเอาใชทาตัวได
, ในเมื่อยัง
ไม
เกิน ๗ วัน สละใหแกอนุสัมบัน ไดคืนมา ฉันไดอีก ถาลวง ๗ วัน ทุกรูปฉันไมได
สิกขาบทที่ ๔ แสวงหา ท
ํานุง อธิษฐาน ซึ่งผาอาบน้ําฝน
เกี่ยวกับผาอาบน้
ําฝน มีกําหนดเวลาดังตอไปนี้
:-
๑. ตั้งแต
เดือน ๗ แรม ๑ ค่ํา ถึงเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ํา เปนเขตแสวงหา
๒. ตั้งแต
เดือน ๘ ขึ้น ๑ ค่ํา ถึงเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ํา เปนเขตทํานุง

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 17
๓. ตั้งแต
แรม ๑ ค่ํา เดือน ๘ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๒ เปนเขตอธิษฐานผา
สิกขาบทที่ ๕ ชิงจีวรคืน
ใหจีวรแก
ภิกษุอื่นแลว โกรธชิงคืน ตองนิสสัคคิยปาจิตตีย
ใหจีวรแก
อนุสัมบันแลว โกรธชิงคืน ตองทุกกฏ
ใหของอื่นแก
อุปสัมบัน หรือ อนุสัมบันแลว โกรธชิงคืน ตองทุกกฏ
สิกขาบทที่ ๘ เก็บอัจเจกจีวรไวไดตลอดกาลจีวร
อัจเจกจีวร แปลว
าจีวรรีบรอน นิยมเรียกวา
ผาจ
ํานําพรรษา
ถวายปลายพรรษา คือ อีก ๑๐ วัน จะ
ออกพรรษา ในระหว
าง ๑๐ วันนั้น ภิกษุรับเก็บไวได โดยไมตองวิกัป พอพนจาก ๑๐ วันก็เขาเขตกาล
จีวร หรือจีวรกาล ๑ เดือน ถาได
้กรานกฐิน ยืดออกไปอีก ๔ เดือน ถึงกลางเดือน ๔ ในระหวางนี้ไมตอง
วิกัปก็ได เช
นเดียวกับอติเรกจีวร ครั้นเลยจากเขตนี้ไปตองวิกัป ถาไมวิกัป ตองนิสสัคคิยปาจิตตีย
กาลจีวร หรือ จีวรกาล = เวลาท
ําจีวร
, คราวถวายจีวร
อติเรกจีวร - ก
อนออกพรรษากวา ๑๐ วัน
ผาผืนเดียวกัน อัจเจกจีวร - ก
อนออกพรรษา ๑ ถึง ๑๐ วัน
กาลจีวร - หลังออกพรรษา ๑ ถึง ๓๐ วัน และถาไดกรานกฐินต
อไปอีกไมเกิน ๑๒๐ วัน
สิกขาบทที่ ๙ จ
ําพรรษาในปาไดประโยชนพิเศษ ๖ คืน
๑. เสนาสนะปา ห
างไกล ๕๐๐ ชวงธนู
๑ ธนู เท
ากับ ๑ วา
๕๐๐ ธนู เท
ากับ ๒๕ เสน วัดตามทางปกติไมลัด
๒. เก็บไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งไวในบานได ๖ คืน เพิ่มขึ้นจากจีวรกาล คือ ถึงแรม ๖ ค่
ํา เดือน ๑๒
สิกขาบทที่ ๑๐ รูอยู
 นอมลาภ
รูอยู
 นอมลาภที่เขาจะถวายสงฆมาเพื่อตน ตองนิสสัคคิยปาจิตตีย
รูอยู
 นอมลาภที่เขาจะถวายสงฆมาเพื่อผูอื่น ตองปาจิตตีย
รูอยู
 นอมลาภที่เขาจะถวายสงฆ์มาเพื่อสงฆหมูอื่น ตองทุกกฏ
รูอยู
 นอมลาภที่เขาจะถวายสงฆเพื่อเจดีย ตองทุกกฏ
รูอยู
 นอมลาภที่เขาจะถวายเจดียมาเพื่อบุคคล ตองทุกกฏ
รูอยู
 นอมลาภที่เขาจะใหบุคคลมาเพื่อเจดีย ตองทุกกฏ
รูอยู
 นอมลาภที่เขาจะถวายสงฆมาเพื่อตนขณะพูด ตองทุกกฏ
สงสัยขืนล
วง ตองทุกกฏ
ไม
รู ทําทุกอยางที่กลาวมาแลว ไมตองอาบัติ

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 18
กัณฑที่ ๗ ปาจิตตีย
มุสาวาทวรรคที่ ๑
สิกขาบทที่ ๑ พูดปด
๑.พูดหรือเขียนหนังสือเท็จ ดวยความตั้งใจ ถาไม
มีสิกขาบทอื่นที่ปรับโทษหนักกวา ก็ปรับเปนปาจิตตีย

๒. ถารับค
ําดวยจิตบริสุทธิ์ ภายหลังทําใหคลาดเคลื่อน เรียก
ปฏิสสวะ ปรับเปนทุกกฎ (ปฏิสสวทุกกฎ)
สิกชาบทที่ ๒ ด
า
เรื่องส
ําหรับดา เรียก อักโกสวัตถุ มี ๑๐ อยาง คือ
:-
๑. ชาติ ๒. ชื่อ ๓. โคตร ๔. การงาน ๕. ศิลปะ
๖. โรค ๗. รูป ๘. กิเลส ๙. อาบัติ ๑๐. ค
ําสบประมาทอื่น ๆ
กิริยาด
าโดยอาการ ๒ อยาง
คือ :-
๑. แกล
้งพูดยกยอ คือ ประชด หรือ แดกดัน
๒. พูดกดใหเลวลง คือด
าตรง ๆ
ปรับโทษ
๑. ภิกษุด
าภิกษุตรง ๆ ตองปาจิตตีย
๒. ภิกษุด
าภิกษุออม ๆ หรือดาอนุสัมบันตรง ๆ หรืออ้อม ๆ ตองทุกกฎ
๓. พูดลอเล
นตรง ๆ หรือ ออม แกผูใดก็ตาม
ตองทุพภาสิต (มีเฉพาะในสิกขาบทนี้แห
งเดียว
)
สิกขาบทที่ ๓ ส
อเสียด
การพูดยุให
้เขาแตกกัน เขาจะแตกหรือไมแตกก็ตาม ปรับโทษดังนี้
:-
๑. พูดยุภิกษุต
อภิกษุใหแตกกัน ตองปาจิตตีย
๒. พูดยุภิกษุ กับ อนุสัมบัน หรืออนุสัมบันทั้ง ๒ ฝาย ใหแตกกัน ตองทุกกฏ
๓. พูดยุยงซึ่งใครก็ตามดวยค
ําเท็จ ควรปรับปาจิตตีย ดวยมุสาวาทสิกขาบท
อนึ่ง พูดให
้แตกกัน อาจถึงสังฆาทิเสสได
สิกขาบทที่ ๔ สอนธรรมแก
อนุปสัมบัน
๑. อนุปสัมบัน ในสิกขาบทนี้ หมายถึงผูหญิงและผูชาย นอกจากภิกษุ
๒. ธรรม ในสิกขาบทนี้ หมายถึงพุทธภาษิต สาวกภาษิตอิสิภาษิต และเทวดาภาษิต

าขึ้นพรอมกัน จบลงพรอมกัน ชื่อวา ให้กลาวโดย
บท
ภิกษุน
ําขึ้น อนุปสัมบันวารับพรอมกันจนจบ ชื่อวา ให้กลาวโดย
อนุบท
ในบทเดียวกัน ว
าขึ้นอักษรรวมกันบาง ไมรวมบาง ชื่อวา ใหกลาวโดย
อนุอักขระ
ในบทเดียวกัน จบลงดวยพยัญชนะ ร
วมกันบาง ไมรวมบาง ชื่อวา ใหกล่าวโดย อนุพยัญชนะ
ปรับเป
็นอาบัติมากนอยตามประโยคที่สอนใหวาพรอมกัน

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 19
สิกขาบทที่ ๕ นอนในที่มุงบังอันเดียวกันกับอนุปสัมบัน
๑. อนุปสัมบัน ในสิกขาบทนี้ หมายถึงผูชายที่ไม
ใชภิกษุ
๒. หองสหไสย คือ หองอันมีที่มุงที่บังอันเดียวกัน
๓. ถานอนร
วมกับอนุปสัมบัน ๓ คืนแลว คืนที่ ๔ พอตะวันตกแลว เหยียดกายลงนอนรวมกัน แม
ขณะหนึ่ง ก็ตองอาบัติปาจิตตีย
สิกขาบทที่ ๖ นอนในที่มุงที่บังอันเดียวกันกับผูหญิง
๑. มาตุคาม หมายเอาหญิงแมเกิดในวันนั้น
๒. พอตะวันตก เหยียดนอนร
วมกัน ตองอาบัติ
๓. นอนร
วมกับหญิงมนุษย ตองปาจิตตีย
นอนร
วมกับบัณเฑาะก
, สัตวดิรัจฉานตัวเมีย ตองทุกกฏ
สิกขาบทที่ ๗ แสดงธรรมแก
ผูหญิงเกิน ๖ คํา
มูลเหตุว
า พระอุทายีกระซิบใกลหูแมผัวบาง ใกลหูสะใภบางแลวไป ตอจากนั้น แมผัวกับลูก
สะใภทะเลาะกัน ต
างกลาวหาวาเปนชูกับพระ
, จึงทรงบัญญัติหามแสดงธรรม (หมายถึงพูด) แก่หญิง

อมาอนุญาตใหมีบุรุษอยูดวยแสดงได
, ต
อมาพระฉัพพัคคียใหบุรุษผูไมรูเดียงสานั่งดวยแลวแสดงเกิน ๖

ํา
, จึงทรงบัญญัติหามแสดงธรรมแก
หญิงเกิน ๖ คํา เวนไวแตบุรุษผูรูเดียงสาอยูดวย
มาตุคาม ในสิกขาบทนี้ หมายถึงหญิงผุรูเดียงสา
สิกขาบทที่ ๘ บอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริง
บอกแก่อนุปสัมบัน ตองปาจิตตีย
บอกแก่อุปสัมบัน ไม
ตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๙ บอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
อาบัติชั่วหยาบ คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส, อาบัติอีก ๕ อย
าง ไมชั่วหยาบ
๑. ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก
อนุสัมบันโดยลําพังตน ตองปาจิตตีย
, แต
ถาไดรับสมมติ
จากสงฆ ไม
ตองอาบัติ
๒. ภิกษุบอกอาบัติไม
ชั่วหยาบของภิกษุอื่นแกอนุปสัมบัน ตองทุกกฏ แตถาไดรับสมมติจากสงฆ
ไม
ตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๑๐ ขุดปฐพี คือแผ
นดิน
ปฐพี มี ๒ ชนิด คือ ๑. แท ๒. ไม
แท
๑. ปฐพีแท คือ ดินร
วนลวน เหนียวลวน หรือ มีกรวดทรายปนบาง ยังมิไดเผา ฝนตกรดเกิน ๔
เดือน เปนวัตถุแห
งปาจิตตีย
๒. ปฐพีไม
แท
 คือ ดินแทที่เผาแลว และหินกรวดทราย ซึ่งมีดินปนเล็กนอย เปนวัตถุแห
งอนาบัติ
ภิกษุแสดงความประสงคดวยกัปปยโวหาร อย
างใดอยางหนึ่งใหขุด ไมตองอาบัติ
, (กัปปยโวหาร คือ

ําพูดที่สมควร เชนพูดวา
ตองการดิน ท
ําใหสูงขึ้น
หรือพูดว
า
ตองการหลุม ตองการบ
อ
เปนตน)

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 20
ภูตคามวรรคที่ ๒
สิกขาบทที่ ๑ พรากของเขียวสด คือภูตคามและพีชคาม
ภูตคาม หมายเอาพืชพันธุที่เปนอยู
กับที่มี ๕ อยาง
๑. เหงา ๒. ตน ๓. ขอ ๔. ยอด ๕. เมล็ด
พีชคาม คือ ภูตคามที่ถูกพรากจากที่แลว แต
ยังปลูกงอก
๑. ภิกษุพรากภูตคาม ตองปาจิตตีย
๒. ภิกษุท
ําลายพีชคาม ตองทุกกฏ
สิกขาบทที่ ๒ ประพฤติอนาจาร
อนาจาร คือการประพฤติปฏิบัติไม
เหมาะสมของภิกษุ ๕ อยาง คือ
:-
๑. เล
นอยางเด็ก เชน ผิวปาก
๒. เล
นคะนอง เชน ปล้ํากัน
๓. เล
นพนันมีแพมีชนะ เชน หมากรุก
๔. เล
นปูยี่ปูยํา เชน จุดไฟเลน
๕. เล
นอึงคะนึง เชน เทศนาตลกคะนอง
อนึ่ง การรอยดอกไมใหสตรี ก็เปนอนาจาร การเรียนการสอนดิรัจฉานวิชา เช
น ทําเสนห
, ท
ําใหผูอื่น
วิบัติ, ใชผีอวดอิทธิฤทธิ์, บอกหวย, ท
ําเงินทองปลอม ก็จัดเปนอนาจาร คือ ประพฤติไม่ดีไมงาม
ภิกษุถูกโจทดวยอนาจาร ถูกซักถามกลางสงฆ
๑. ถาเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อน, สงฆ
์สวด
อัญญวาทกกรรม
๒. นิ่งเสียใหสงฆล
ําบาก
, สงฆสวด วิเหสกกรรม
เมื่อสงฆ
์สวดจบ อยางใดอยางหนึ่ง ถายังไมละ ตองปาจิตตีย
ถาสงฆไม
สวด ภิกษุนั้นตองดพียงทุกกฏ
ถาภิกษุไม
ตั้งใจจะกลบเกลื่อนหรือใหสงฆลําบาก ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๓ ติเตียนภิกษุผูท
ําการสงฆ

ําวา ติเตียน แบงเปน ๒ คือ
:-
๑. โพทะนา ตั้งใจติเตียนต
อหนาผูอื่น
๒. บ
นวา
ไม
ตั้งใจจะใหใครฟง ติเตียนตามลําพัง ใครไดยินก็ชาง ไม่ได้ยินก็ชาง
อาบัติ-อนาบัติ
๑. โพทะนา หรือ บ
นวา ซึ่งภิกษุผูไดรับสมมติทําการสงฆถูกตอง ตอหนาภิกษุ ตองปาจิตตีย ตอ
หน
้าอนุปสัมบัน ตองทุกกฏ
๒. โพทะนา หรือ บ
นวา ซึ่งภิกษุผูอันสงฆมิไดสมมติ แตทําการสงฆโดยถูกตอง ตองทุกกฏ แมถา
โพทะนาบ
นวา ผูทําการสงฆไมถูกตอง โดยมุงจะใหผูทําการสงฆเสียชื่อ ตองทุกกฏ
๓. โพทะนา หรือ บ
นวา ผูทําการสงฆไมถูกตอง โดยไมมีเจตนาราย ไมตองอาบัติ

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 21
สิกขาบทที่ ๔ เอาของไปใชในกลางแจงแลวไม
เก็บ
๑. เตียง ตั่ง ฟูก เกาอี้ของสงฆ ตองปาจิตตีย
๒. เตียง ตั่ง ฟูก เกาอี้ ของบุคคลอื่น ตองทุกกฎ, เครื่องนอน เครื่องนั่งอื่น ๆ ของสงฆ และของ
บุคคลอื่น ตองทุกกฎ
๓. ทุกอย
างของตน ไมตองอาบัติ แตไมควรทิ้งไวเกะกะ
๔. มอบหมายใหผูอื่นเก็บ หรือผูอื่นมาใชของนั้นอยู
 หรือมีเหตุฉุกเฉิน ไปที่อื่นได ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๕ เอาของไปใชในกุฎีสงฆ
์แลวไมเก็บ
๑. ฟูก เสื่อ ผาปูนอน หมอน (ของสงฆ) ใชในกุฎีสงฆ ตองปาจิตตีย
๒. ฟูก เสื่อ ผาปูนอน หมอน (ของสงฆ) ใชในที่อื่น เช
น ศาลา ตองทุกกฏ
ฟูก เสื่อ ผาปูนอน หมอน (ของสงฆ) ใชในกุฎีของผูอื่น ตองทุกกฏ
๓. ฟูก ฯ ล ฯ ของบุคคลอื่น ใชในเสนาสนะทุกประเภท ตองทุกกฏ
๔. ทุกอย
างของตนเอง ใชในเสนาสนะทุกประเภท ไมตองอาบัติ แตไมควรทิ้งไว้เกะกะ
๕. ถาหลีกไปดวยตั้งใจจะกลับมาอีก หรือมีเหตุฉุกเฉิน ไปได ไม
ตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๖ รูอยู
วา มีผูอยูกอน แกลงนอนเบียด
๑. นอนเบียด หรือนอนแทรกแซง คือ นอนใกลเคียงทางเขาทางออกในกุฎีสงฆ ตองปาจิตตีย, ในที่
อื่นนอกจากที่ของตน เช
น โคนไม ตองทุกกฏ
๒. นอนเบียด นอนแทรกแซง ในที่ของตนเอง ไม
ตองอาบัติ
๓. ถามีเหตุจ
ําเปน นอนเบียด นอนแทรกแซง ในที่ทุกแหงไมตองอาบัติ
การบัญญัติขอนี้ เพื่อใหสิทธิแก
ผูเขาอยูกอน
สิกขาบทที่ ๗ โกรธเคืองภิกษุอื่น
ฉุดคร
า หรือใช้ใหฉุดครา ไลออกจากกุฎีสงฆ ตองปาจิตตีย
ขน หรือใชใหขนบริขารออก ตองทุกกฏ
สิกขาบทที่ ๘, สิกขาบทที่ ๙
ดูในวินัยมุข เล
ม ๑
สิกขาบทที่ ๑๐ รูว
าน้ํามีตัวสัตว เอารดหญา หรือดิน
ตัวสัตว

ในที่นี้ หมายเอาตัวสัตว
์เล็ก ๆ ที่อาศัยอยูในน้ํา เชน ลูกน้ํา
ภิกษุรูอยู
วา ในน้ํานั้นมีตัวสัตว เอารดหญาหรือดิน ตองปาจิตตีย ถาไมรูไมตองอาบัติ

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 22
โอวาทวรรคที่ ๓
โอวาทวรรคมีเนื้อความกระจ
างอยูแลว
โภชนวรรคที่ ๔
สิกขาบทที่ ๑ การฉันอาหารในโรงทาน
อาหาร ได
้แก โภชนะ ๕ อยาง คือ
:-
ขาวสุก ขนมสด ขนมแหง ปลา เนื้อ
กิริยาที่กินของสามัญชน ๒ อย
าง
คือ :-
๑. กินขาว หมายถึงกินเพื่ออิ่มหน
ํา ประจําวัน มื้อเชา มื้อเย็น หรือเพิ่มมื้อกลางวันดวย ตองการ

ำรุงชีวิต
๒. กินของว
าง
หมายถึงกินจุบ กินจิบ ในระหว
าง เชน กินขนมแกลมกับน้ําชา
ในสิกขาบทนี้ มุ
งกินขาว อันไดแก โภชนะ ๕ ในโรงทานเพื่อคนทั่วไป เปนเวลา ๒ วันตอกัน ตองปาจิตตีย
ถาฉัน ๑ วัน แลวเวนเสีย ๑ วัน มาฉันใหม
อีกสลับกันไป หรือเจาของนิมนตฉันติด ๆ กันทุกวัน
ไม
ต้องอาบัติ
สิกขาบทที่ ๒ การฉันเปนหมู

ภิกษุ ๕ รูปขึ้นไป รับนิมนตที่เขาออกชื่อโภชนะ ๕ อย
างใดอยางหนึ่ง และฉัน แมรับพรอมกันในที่
เดียวกันแลว แยกกันไปฉันก็ตองปาจิตตียทั้ง ๒ ฝาย, เวนไวแต
สมัย
(๑. เปนไข ๒. หนาจีวรกาล ๓. เวลา

ําจีวร ๔
. เดินทางไกล ๕. ไปทางเรือ ๖. พระมากบิณฑบาตไม่พอฉัน ๗. สมณนิมนต)
สิกขาบทที่ ๓ การฉันในที่นิมนตทีหลัง
ปรัมปรโภชนะ คือ รับนิมนตในที่แห
งหนึ่งแลว ครั้นถึงเวลาไปฉันเสียในที่อื่น ซึ่งเขานิมนตทีหลัง

้องปาจิตตีย
เวนไว
้แตวิกัป คือยกใหภิกษุอื่น โดยตกลงกับเจาภาพ หรือคราวเปนไข ๑ หนาจีวรกาล ๑ เวลาทำจีวร ๑
สิกขาบทที่ ๔ การรับขนม ๓ บาตร
ขนม ในที่นี้ หมายเอาของขันหมาก
ขาวสัตตุ หมายเอาของเปนเสบียงเดินทาง
แมของที่เขาท
ําไวขาย ก็สงเคราะหเขาได เพราะตองการใหภิกษุรูจักประมาณในการรับ เพื่อ
มิใหสกุลสึกหรอเสียการ
ในหมู
ภิกษุที่อยูรวมกันหลายรูป รูปใดรูปหนึ่ง รับครบ ๓ บาตร แลวตองหยุด และบอกใหภิกษุอื่น
มิใหไปรับ และตองแบ
งขนมใหภิกษุอื่น ถารับเกิน ๓ บาตร ตองปาจิตตีย
, รับครบ ๓ บาตรแลวไม
บอก
ภิกษุอื่น ตองทุกกฎ, ภิกษุผูรับบอกแลว ยังไปรับขนม แมเพียงเล็กนอย ก็ตองอาบัติทุกกฎ, ถาเกิน ๓
บาตร ก็ตองปาจิตตียอีก

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 23
สิกขาบทที่ ๕ ภิกษุผูหามอาหาร
๑. ค
ําวา
ฉันคางอยู

คือ ฉันโภชนะ ๕ ยังไม
เสร็จ หรือเสร็จแตยังไมลุกจากที่
๒. มีผูน
ําเอาโภชนะ เขามาประเคน ภิกษุหาม ประกอบดวยองค ๕ คือ
:-
ก. ฉันคางอยู

ข. เขาเอาโภชนะมาถวาย ค. เขาอยู
ในหัตถบาส
ง. เขาน
้อมถวาย
จ. ภิกษุหาม
๓. ภิกษุผูฉันยังไม
เสร็จ หรือฉันคาง และหามอยางนี้แลว ลุกจากที่นั่งนั้นแลว ในวันนั้นฉันอาหารอีก
ตองปาจิตตีย เวนเปนของเดน
ขณะรับ ตองทุกกฏ
๔. ของเปนเดน มี ๒ คือ :-
ก. เดนเหลือจากภิกษุไขฉัน
ข. ภิกษุท
ําใหเปนเดน
คือฉันพอเปนพิธีแลวยังไม
ลุก ยกสงใหภิกษุผูหามอาหารแลวในหัตถบาส
บอกว
าพอแลว
สิกขาบทที่ ๖ ภิกษุผูเอาอาหารไปล
อใหภิกษุผูหามอาหารฉัน
ภิกษุแกลงเอาโภชนะที่ไม
เปนเดนไปลอใหภิกษุผูหามขาวแลวฉัน โดยมุงจะหาโทษให
, พอเธอฉัน
ภิกษุผูล
อ ตองปาจิตตีย
สิกขาบทที่ ๗ ฉันอาหารในเวลาวิกาล
ภิกษุฉันของเคี้ยวของฉัน ในเวลาวิกาล ตองปาจิตตีย
๑. ค
ําวา
ของเคี้ยว ไดแก
 ผลไม้ เหงา เผือก มัน เปนตน
๒. ค
ําวา
ของฉัน ไดแก
 โภชนะ ๕ อยาง
สิกขาบทที่ ๘ ฉันอาหารที่รับประเคนไวคางคืน
ฉันของเคี้ยวของฉันที่รับประเคนไวคางคืน ตองปาจิตตีย
กาลิก ๔
๑. ยาวกาลิก ของฉันไดเชาถึงเที่ยง คือของเคี้ยว ของฉัน
๒. ยามกาลิก ของฉันไดเชาจนถึงก
อนย่ํารุง คือ ผลไมคั้น เปนตน
๓. สัตตาหกาลิก ของฉันได ๗ วัน คือ เภสัช ๕
๔. ยาวชีวิก ของฉันไดตลอดอายุ เช
น เกลือ พริกไทย เปนตน
สิกขาบทที่ ๙ ขอโภชนะอันประณีต
ขอโภชนะอันประณีตจากคฤหัสถเอามาฉันเอง ตองปาจิตตีย เวนภิกษุ ๔ จ
ําพวก คือ
:-
๑. ภิกษุอาพาธ
๒. ภิกษุไม
อาพาะ พลอยฉันภิกษุอาพาธ
๓. ภิกษุไม
อาพาธ ขอตอญาติหรือปวารณา เอามาฉันเอง
๔. ภิกษุไม
อาพาธ ขอตอคนอื่น เพื่อภิกษุอาพาธ

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 24
สิกขาบทที่ ๑๐ ฉันอาหารที่ยังมิไดรับประเคน
๑. อาหาร หมายเอากาลิก ๔
๒. น้
ํา หมายเอาน้ําบริสุทธิ์ ไมมีอะไรเจือปน
๓. ไมสีฟน ไม
ใช่ยาสีฟน
๔. ยังไม
ไดรับประโคน คือ อนุปสัมบัน ยังไมไดมอบใหในมือ แมมอบใหในมือแลววางไว มีอนุปสัมบัน
จับตองอีก (ตองมอบใหม

)
ลักษณะประเคน ๕ อย
าง
๑. ของไม
ใหญ ไม่หนักเกินไป คนเดียวยกไดตามสบาย
๒. ผูประเคนเขาอยู
ในหัตถบาสหางไมเกิน ๑ ศอก
๓. เขานอมเขามาถวาย
๔. เขานอมมาดวยกาย หรือของเนื่องดวยกาย (หรือโยนใหในกรณีที่เขามาในหัตถบาสไม
ได
)
๕. ภิกษุรับดวยกาย หรือของเนื่องดวยกาย
อาบัติ-อนาบัติ
ภิกษุฉันของไม
ไดรับประเคน ตองปาจิตตีย เวนไวแตน้ําและไมสีฟน และเวนเฉพาะคราวอาพาธหนัก
เขาขั้นอันตราย เช
น งูพิษกัด กัปปยการกไมมี ถือเอายามหาวิกัติ ๔ อยาง คือ มูตร คูถ เถา ดิน ฉันเองได
และไม
ตองอาบัติ เพราะโทษที่ตัดไมและขุดดินเพื่อทํายา
อเจลกวรรคที่ ๕
สิกขาบทที่ ๑ ให
้ของเคี้ยวกินแกนักบวชนอกศาสนา
นักบวชนอกศาสนาพุทธ ผูชาย เรียก ปริพาชก
ผูหญิง เรียก ปริพาชิกา
บางพวกเปนชีเปลือย เรียก อเจลก
ใหสิ่งของที่พึงกลืนกิน (เวนน้
ํา
) ดวยมือของตน ตองปาจิตตีย
สั่งใหให วางให หรือใหของอื่น แมดวยมือของตน ไม
ตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๒ ชวนไปบิณฑบาตแลวไล
กลับ
อนาจาร ในที่นี้ คือ การซิกซี้ การเล
น การนั่งในที่ลับกับหญิง หรือการประพฤติอนาจารอยางใน
สิกขาบทที่ ๒ แห
งภูตคามวรรค
ภิกษุชวนภิกษุอื่นไปบิณฑบาต แลวไล
เธอกลับ เพราะหวังประพฤติอนาจาร ตองปาจิตตีย ถาให
กลับเพราะเหตุอื่น ไม
ตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๓ นั่งแทรกแซงในสกุล
๑. ค
ําวา
"สกุลก
ําลังบริโภคอาหาร
" หมายถึงหญิงชายก
ําลังรับประทานอาหาร หรือสามีภรรยากํา
ลังอยู
ในห้องนอน
๒. ค
ําวา
"ส
ำเร็จการนั่งแทรกแซง
" คือ เขาไปนั่งกีดเขาในเวลานั้น

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 25
สิกขาบทที่ ๔ นั่งในหองกับผูหญิง
ภิกษุ นั่ง นอน ในหอง ที่ลับตา กับหญิงแมมากคน ไม
มีผูชายรูเดียงสาอยูเปนเพื่อน ตองปาจิตตีย
สิกขาบทที่ ๕ นั่งในที่แจงกับผูหญิง
ภิกษุ นั่ง นอน ในที่แจง อันเปนที่ ลับหู กับหญิงตัวต
อตัว ตองปาจิตตีย
ถาหญิงหลายคน คุมอาบัติได ไม
ตองอาบัติ
ฝายหนึ่งยืน ฝายหนึ่งนั่ง หรือยืนทั้ง ๒ ฝาย ไม
ตองอาบัติ แตถาเปนการซอนเรนก็ไมควร เพราะเป็น
ที่รังเกียจของเพื่อน จัดเขาในอาจารวิบัติ คือ เสียมรรยาทของพระ แมเดินไปส
งแขกสตรี ไมมีบุรุษรูเดียง
สาไปดวย ก็ไม่ควรเช่นเดียวกัน
ถาไม
เพงการลับ เชน ผูชายที่อยู่เป็นเพื่อนออกไปเสีย หามไมทัน
, หรือผูหญิงเขามาหาพระ พระ
ไม
ทันรูตัว ก็ยังไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๖ รับนิมนตฉันแลว จะไปอื่นก
อนหรือหลังฉัน ตองลา
หามมิให
้ภิกษุไปที่อื่นกอนฉัน
เพื่อกันมิใหไปล
า หรือตามตัวไมพบ
หามมิใหไปที่อื่นหลังฉัน เพื่อมิใหถือโอกาสเที่ยว เพราะอาจมีผูมีธุระตองการพบในเวลากลับ ฉะนั้น
ถาจ
ําเปน ก็ใหบอกลาภิกษุอื่นใหทราบไวกอน ถาไมลาเที่ยวไป ตองปาจิตตีย เวนไวแตสมัย คือจีวรกาล
และเวลาท
ําจีวร
สิกขาบทที่ ๗ ไม
เปนไข้ ขอปจจัย ๔ ตอคนปวารณา ตามกำหนด
ปวารณา ๔ คือ :-
๑. ปวารณาก
ำหนดปจจัย เชน ระบุชื่อ จีวรจำนวนกี่ผืน หรือราคาเทาไร เปนตน
(ขอไดไม
เกิน ๔ เดือน
)
๒. ปวารณาก
ำหนดกาล เชน ๓ เดือน ๔ เดือน ๕ เดือน หรือมากนอยเทาใด ก็ขอไดตลอดกาลเทานั้น
๓. ปวารณาก
ำหนดทั้งปจจัยทั้งกาล
. (ขอได
้ตามนั้น
)
๔. ปวารณาไม
กำหนดทั้งปจจัยทั้งกาล
(ขอไดไม
เกิน ๔ เดือน
) ถาเขาปวารณาอีก ขอได ๔ เดือนอีก,
ถาขอเกินก
ำหนด ตองปาจิตตีย
, ถาเขาปวารณาเปนนิตย ขอไดตลอดไป
สิกขาบทที่ ๘ ไปดูกระบวนทัพ
ไปเห็นกองทัพดวยธุรกิจบางอย
าง ไมใชไปดูเลน ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๙ อยู
ในกองทัพไดเพียง ๓ วัน
การนับวันในที่นี้ ก
ำหนดเอาพระอาทิตยตก ถามีเหตุจําเปน ก็อยูในกองทัพไดครั้งละ ๓ วัน แตถ้า
เข
้าไปแลวออกไมได เพราะเหตุจําเปนอื่นอีก ก็อยูตอไปได ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๑๐ อยู
ในกองทัพ หามดูการรบเปนตน
ในระหว
างที่อยูในกองทัพ หามมิใหไปดูเขารบกัน เขาตรวจที่พักพล เขากําลังจัดกระบวนทัพ
กระบวนทัพที่เขาจัดแลว
เมื่อฝาฝน เปนปาจิตตียแต
ละอยาง ๆ

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 26
สุราปานวรรคที่ ๖
สิกขาบทที่ ๑ ดื่มน้
ําเมา
น้
ําเมา คือ สุราและเมรัย ฝน เฮโรอีน กัญชา ใบกระทอม ยาเสพติดใหโทษทุกชนิด จัดเขาในสิกขา
บทนี้ดวย
๑. ภิกษุจะรูหรือไม
ก็ตาม เสพสิ่งใหโทษดังกลาว ตองปาจิตตีย
๒. ถาเจือปนในแกง เพื่อชูรสเล็กนอย ไม
เมา ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๒ จี้
๑. ภิกษุจี้ภิกษุดวยนิ้วมือ มุ
งใหหัวเราะ ตองปาจิตตีย
๒. ภิกษุจี้ภิกษุดวยของเนื่องดวยกาย หรือจี้อนุปสัมบันแมดวยนิ้วมือ ตองทุกกฏ
๓. ไม
มุงหัวเราะ มีกิจที่จะตองถูกตองกายกัน ไมเปนอาบัติ
สิกขาบทที่ ๓ ว
ายน้ําเลน
๑. น้
ําลึกพอวายได ภิกษุวายเลน ตองปาจิตตีย
๒. เล
นน้ําในเรือ พายเรือเลนในน้ํา เอามือวักน้ําเลน เอาเทาแกวงน้ําเลน เอาไมขีดน้ําเลน เอากระ
เบื้องปาน้
ําเลน วายน้ําในที่ตื้น ไมพอจะวายได เลนน้ําในภาชนะ ตองทุกกฏ
๓. ไม
มุงเลน ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๔ ไม
เอื้อเฟื้อในวินัย
ไม
เอื้อเฟอ คือดื้อดึง
, ไดรับค
ําแนะนําตักเตือนแลวไมเชื่อฟง
, กลับดูถูก ดูหมิ่น
๑. ไม
เอื้อเฟอในภิกษุผูกลาวสอนวินัย ตองปาจิตตีย
๒. ไม
เอื้อเฟอในภิกษุผูกลาวสอนธรรม ตองทุกกฎ
๓. ไม
เอื้อเฟอในอนุปสัมบันผูกลาวสอนทุกอยาง ตองทุกกฎ
๔. ภิกษุกล
าวชี้เหตุที่ประพฤติอยางนั้น เชน วาไดรับคําแนะนํามาจากอาจารยอยางนั้น ไมตองอาบัติ

สิกขาบทที่ ๕ หลอนให
้กลัว

ําวา หลอน คือ พูดหรือแสดงอาการใหกลัว
๑. หลอนภิกษุใหกลัวผี โจร สัตวราย ตองปาจิตตีย
๒. หลอนอนุปสัมบัน ใหกลัวทุกอย
าง ตองทุกกฏ
๓. ไม
ตั้งใจหลอน บอกเลาเรื่องผี เปนตน ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๖ ติดไฟเพื่อจะผิง
ติดไฟผิงในเรือนไฟ ไม
ตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๗ ในมัชฌิมประเทศ ๑๕ วันอาบน้
ําไดหนหนึ่ง
ทรงบัญญัติเฉพาะประเทศอัตคัตน้
ํา
สิกขาบทที่ ๘ ไดจีวรใหม
มา ตองทําพินทุกอนนุงหม

ําพินทุ คือ เอาสีเขียว สีคราม เปนตน ทําใหเปนจุด เปนวงกลม ใหญเทาตานกยูง เล็กเทาหลังตัวเรือด
พรอมกับเปล
งวาจาวา
"อิม พินฺทุกปฺป กโรมิ" แปลว
า
"เราท
ําหมายจุดนี้
" ถาไม
ทํากอนนุงหม ตองปาจิตตีย

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 27
สิกขาบทที่ ๙ วิกัปจีวรแลว ตองใหถอนจึงใชได

ําวาวิกัปจีวรตอหนาผูรับวา
"อิม
ํ จีวรํ ตุยฺหํ วิกปฺเปมิ”

ําถอนวิกัปผูแกกวาวา
"อิม
ํ จีวรํ มยฺหํ สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจย วา กโรหิ
"

ําถอนวิกัปผูออนกวาวา
"อิม
ํ จีวรํ มยฺหํ สนฺตกํ ปริภุญฺชถ วา วิสชฺเชถ วา ยถาปจฺจย วา กโรถ
"
หมายเหตุ :- ถาหลายผืน ว
า อิมานิ จีวรานิ แทน อิมํ จีวรํ

า สนฺตกานิ แทน สนฺตกํ
ถายังไม
ถอน นุงหม ตองปาจิตตีย
สิกขาบทที่ ๑๐ ซ
อนบริขารดวยคิดจะลอเลน

อนบาตร จีวร ผาปูนั่ง กลองเข็ม ประคดเอว ของภิกษุ ตองปาจิตตีย

อนบริขารอื่นของภิกษุ หรือซอนบริขารทุกอยางของอนุปสัมบัน ตองทุกกฏ
ถาไม
คิดจะลอเลน เก็บซอนไวใหปลอดภัย ไมตองอาบัติ
ถามีเถยจิต จิตคิดจะลัก ตองอาบัติตามราคาสิ่งของ
สัปปาณวรรคที่ ๗
สิกขาบทที่ ๑ แกลงฆ
าสัตวดิรัจฉาน
แกล
้งฆาสัตวดิรัจฉานทุกชนิด ตั้งแตตนอยูในไข ในทองแม ตองปาจิตตีย
, ถาไม
แกลง ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๒ รูอยู
 บริโภคน้ํามีตัวสัตว

ําวา
บริโภค คือ ดื่ม อาบ หรือใชทั่วไป รูอยู
 บริโภค ตองปาจิตตีย ถาไมรู ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๓ รื้อฟ
นอธิกรณ์
อธิกรณ
์ ได้แก่ เรื่องที่เกิดขึ้นแลวตองทํามี ๔ คือ
:-
๑. วิวาทาธิกรณ

๒. อนุวาทาธิกรณ

๓. อาปตตาธิกรณ

๔. กิจจาธิกรณ

ภิกษุ รูอยู
วา สงฆ์หรือบุคคลทําถูกตองแลว รื้อฟนทําใหม ตองปาจิตตีย ถาไมรู ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๔ รูอยู
 แกล้งปกปดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
อาบัติชั่วหยาบ คือ ปาราชิก และ สังฆาทิเสส

ําวา
"ภิกษุ" หมายถึงตลอดถึงผูขาดจากภิกษุแลว แต
ยังปฏิญญาวาเปนภิกษุ

ําวา
"ปกปด" คือ เมื่อไดรูว
า ภิกษุรูปใดตองอาบัติหยาบแลวไมบอกใหสงฆทราบ เพื่อจะไดจัดการ
ตามวินัย ผูปกปดตองอาบัติปาจิตตีย
ถาไม
ตั้งใจปกปด แตมีเหตุขัดของ ก็ไมไดบอก หรือเห็นวาถาบอกไปผลรายกวานิ่งเสีย จึงไมบอก
ไม
จัดวาปด ไมตองอาบัติ

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 28
สิกขาบทที่ ๕ รูอยู
 ทําการอุปสมบทคนมีอายุไมครบ ๒๐ ป
อุปสมบทกุลบุตร ผูมีอายุหย
อนกวา ๒๐ ป ถารูอยู
๑. อุปชฌายะ ตองปาจิตตีย
๒. พระคู
สวด และพระนั่งหัตถบาส ตองทุกกฏ
๓. ผูขออุปสมบท ไม
เปนภิกษุ
๔. แต
ถาไมรู ทุกรูป ไมตองอาบัติ
และผูขออุปสมบทนั้นก็ไม
เปนภิกษุ คือ เปนสามเณรตามเดิม
สิกขาบทที่ ๖ รูอยู
 เดินทางกับพอคาผูซอนภาษี
๑. รูอยู
 ชักชวนเดินทางรวมกันกับผูคาขาย ซอนของหนีภาษี หรือชวนกันเดินทางกับพวกโจร ตอง
ปาจิตตีย
๒. ถาไม
รู หรือรูแตไมชักชวน ตางคนตางเดิน ไมตองอาบัติ

ําวา
"ระยะบานหนึ่ง" ในที่อยู
คับคั่ง กําหนดเขตบานเจาของหนึ่ง ๆ
, ถาในปา ก
ําหนดกึ่งโยชน
สิกขาบทที่ ๗ เดินทางกับผูหญิง
ชักชวนหญิงผูรูเดียงสา เดินทางร
วมกัน ตองปาจิตตีย
ถาไม
ชวน ตางคนตางเดิน ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๘ กล
าวคัดคานธรรมเทศนาของพระพุทธเจา
ภิกษุอวดดีคัดคานพระธรรมวินัยว
า ไมถูก
, ภิกษุอื่นตักเตือนหามปราม ไม
เชื่อฟัง สงฆสวดประกาศ
หามจบ ตองปาจิตตีย และไดชื่อว
า
อุกขิตตโก แปลว
า ผูถูกสงฆยกโยน หรือถูกสงฆซัดออกจากหมู
สิกขาบทที่ ๙ รูอยู
 คบกับภิกษุผูถูกสงฆ์ยกออก
๑. ร
วมกิน
ไดแก

ก. อามิสสมโภค คบหาดวยอามิส
ข. ธัมมสมโภค คบหาดวยการเรียนธรรม สอนธรรม
๒. ร
วมอยู
คือ ร
วมทําสังฆกรรมตาง ๆ
๓. ร
วมนอน
คือ เหยียดกายนอนในที่มุงเดียวกัน
คบดวยอาการอย
างใดอยางหนึ่ง ตองปาจิตตีย
แต
ถาผูที่สงฆยกออกนั้น กลับประพฤติดี สงฆสวดประกาศระงับโทษใหเขาสมาคมอีก
, ภิกษุผูคบ
ไม
ตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๑๐ รูอยู
 เกลี้ยกลอมสามเณรที่สงฆให ฉิบหาย
สามเณรคัดคานพระธรรมวินัย สงฆใหสึก แต
ยังไมทันสึก ภิกษุใด รูอยู เอามาเลี้ยงไว รวมกินรว
มนอน ตองปาจิตตีย

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 29
สหธรรมิกวรรคที่ ๘
สิกขาบทที่ ๑ ประพฤติอนาจาร เขาตักเตือน ยังพูดผัดเพี้ยน
ภิกษุประพฤติอนาจาร ถาผูอื่นตักเตือน ยังพูดผัดเพี้ยน มีโทษเพิ่มขึ้น ดังนี้ :-
๑. อุปสัมบันกล
าวตักเตือน เรื่องวินัย ตองปาจิตตีย
๒. อุปสัมบันกล
าวเตือน เรื่องธรรม ตองทุกกฏ
๓. อนุปสัมบันกล
าวเตือน เรื่องวินัยหรือเรื่องธรรม ตองทุกกฏ
สิกขาบทที่ ๒ เมื่อเขาทองปาติโมกข
แกลงพูดใหเขาคลายอุตสาหะ ตองปาจิตตีย
ถาไม
ปรารถนาจะพูดใหคลายอุตสาหะ หรือไมปรารถนาจะกน คือติเตียนสิกขาบท แตพูดตามเหตุที่
ปรารภถึง ไม
ตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๓ ตองอาบัติแลว แกลงไขสือ
ภิกษุประพฤติอนาจาร คือ ล
วงสิกขาบทตาง ๆ แลว รูวาตองอาบัติแลว แกลง
ไขสือ คือรูแลวแกล
้ง

ําเปนไมรู ถาสงฆสวดประกาศ
"โมหาโรปนกรรม" คือท
ําการเพิ่มโทษ เพราะแกลงทําไมรู ตองปาจิตตีย
(ค
ําวา
อนาจาร ในสิกขาบทนี้น
ํามาจากตนบัญญัติ
)
สิกขาบทที่ ๔ ใหประหาร

ําวา
"ใหประหาร" คือท
ํารายดวยกาย หรือของเนื่องดวยกาย หรือโยนไป ขวางไป ซัดไป ยิงไป ทํา
เอง หรือใชใหท
ํา
อาบัติ-อนาบัติ ดังนี้ :-
๑. โกรธใหประหารแก
ภิกษุ ตองปาจิตตีย
๒. โกรธใหประหารแก
อนุปสัมบัน ตองทุกกฏ
๓. ไม่โกรธให
้ประหารแกใครก็ตาม เพื่อปองกันตัว ไมตองอาบัติ
๔. ไม่โกรธให
้ประหาร เจตนาใหเขาตาย ปรับโทษตามตติย
-ปาราชิกสิกขาบท
๕. ถาจับตองศัสตราวุธ ตองทุกกฏ
สิกขาบทที่ ๕ เงื้อมือดุจใหประหาร
ภิกษุโกรธ เงื้อมือท
ําทาทุบตี ตอย ชื่อวา
เงื้อมือดุจใหประหาร
๑. ท
ําแกภิกษุ ตองปาจิตตีย
๒. ท
ําแกอนุปสัมบัน ตองทุกกฏ
๓. ไม่โกรธท
ำเพื่อป้องกันตัวหรือทําเลน ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๖ โจท (ฟอง) ซึ่งภิกษุอื่น
โจทด
้วยอาบัติสังฆาทิเสสไมมีมูล ตองปาจิตตีย ตามสิกขาบทนี้
โจทดวยอาบัติอย
างอื่น ซึ่งต่ํากวาสังฆาทิเสส และไมมีมูล ตองปาจิตตีย ตามมุสาวาทสิกขาบท

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 30
สิกขาบทที่ ๗ แกลงก
อความรําคาญ
แกลงก
อความรําคาญ คือพูดปรารภพระบัญญัติให้เขารอนใจ เกี่ยวกับเรื่องวินัยบางอยาง ตองปาจิตตีย

(ถาเกี่ยวกับธรรมะ ตองทุกกฎ)
ถาไม
แกลงใหเขารอนใจรําคาญ พูดแนะนําตามเหตุอันสมควร ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๘ แอบฟงความ
ภิกษุแอบฟงความที่ภิกษุวิวาทกัน
๑. เพื่อเก็บมาเปนเครื่องโตเถียง ตองปาจิตตีย
๒. เพื่อหาโทษใส
กัน
ตองปาจิตตีย
๓. เพื่อเปนเครื่องมือยุยงให
้เขาแตกกัน
ตองปาจิตตีย
ไม
ตั้งใจแอบฟง เดินผานไปไดยินเสียงภิกษุวิวาทกันเขา หรือแอบฟงความอันไมมีโทษ หรือแอบฟัง
ภิกษุประพฤติอัชฌาจาร เช
น นั่งพูดกับหญิงตัวตอตัว เพื่อจับผิดโดยเห็นแกพระศาสนา ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๙ ใหฉันทะแลว กลับติเตียน
"สังฆกรรมที่เป
็นธรรม
" คือ สงฆท
ําถูกตามระเบียบพุทธบัญญัติทุกประการ
๑. ติเตียนสงฆ ผูท
ํากรรมที่เปนธรรม
ตองปาจิตตีย
๒. ติเตียนสงฆ ผูท
ํากรรมที่ไมเปนธรรม
ไม
ตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๑๐ เมื่อสงฆก
ําลังประชุม หลีกไป
๑. สงฆก
ําลังทํากิจคางอยู ลุกไปไมใหฉันทะกอน โดยมุงใหเสียกรรม พอละหัตถบาส ตองปาจิตตีย
๒. เห็นสงฆ
์ทำกรรมไมเป็นธรรม เกรงจะเกิดวิวาท หลีกไปเสีย หรือปวดอุจจาระ ปสสาวะ
, หรือ
เสมหะเต็มในปาก หลีกไปดวยคิดจะกลับเขามาอีก โดยไม
ใหฉันทะ ไมตองอาบัติ
๓. ไม่สบายนั่งต
อไปอีกไมได หรือมีธุระสำคัญ ใหฉันทะแลวไป ไมตองอาบัติ
สิกขาบทที่ ๑๑ พรอมกับสงฆ ใหจีวรแก
ภิกษุแลวติเตียน
๑. ภิกษุพร
้อมกับสงฆ ใหจีวรแกภิกษุผูไดรับสมมติใหทําการสงฆแลว ติเตียนภิกษุอื่น ตองปาจิตตีย
๒. ภิกษุพรอมกับสงฆ ใหจีวรแก
ภิกษุผูมิไดรับสมมติสงฆใหทําการสงฆ หรือใหจีวรแกสามเณร หรือ
ให
้ของอื่น ๆ แกภิกษุหรือสามเณรก็ตามแลวติเตียน ตองทุกกฏ
สิกขาบทที่ ๑๒ รูอยู
 นอมลาภ
ดูสิกขาบทที่ ๑๐ แห
งปตตวรรค
รตนวรรคที่ ๙
สิกขาบทที่ ๑ ไม
ไดรับอนุญาตกอน เขาในหองพระเจาแผนดิน
พระเจาแผ
นดินผูไดรับมูรธาภิเษก อยูในหองที่บรรทมที่ใดที่หนึ่งโดยที่สุดแมวงดวยมานกับพระ
มเหสี ภิกษุเขาไปโดยมิไดรับอนุญาต ตองปาจิตตีย

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 31
สิกขาบทที่ ๒ เก็บของตก
เครื่องบริโภคของคฤหัสถ หมายถึงรัตนะ คือ ทอง เงิน เพชร พลอย แทก็ตาม ไม
แทก็ตาม ตลอดถึง
เครื่องใชสอยทั่วไป
๑. ตกในที่อื่น ภิกษุถือเอาเป
็นของเก็บไดเอง หรือใหผูอื่นเก็บเอา ตองปาจิตตีย ถาเปนของ
นิสสัคคีย ถือเอา ตองอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย
๒. ตกในวัดหรือที่อาศัย ตองเก็บไวใหเจาของ ถาไม
เก็บ ตองทุกกฏ
๓. ตกในวัด ถือเอาดวยเถยจิต ตองอาบัติตามราคาของ
สิกขาบทที่ ๓ เขาบานในเวลาวิกาล ตองบอกลา
เวลาวิกาลนับแต
เที่ยงวันไปจนถึงอรุณขึ้นวันใหม
ภิกษุเขาบานในเวลาวิกาล โดยไม
บอกลา ตองปาจิตตีย เวนไวแต
๑. มีกิจด
วน เชน ไฟไหม งูพิษกัด
๒. ไม
มีภิกษุอื่นในวัด ลาใครไมได
๓. ไปสู
วัดอื่น เดินผานบานไมแวะบาน
สิกขาบทที่ ๔ ท
ํากลองเข็ม
ภิกษุใชช
างทํากลองเข็มดวยกระดูก งา เขา ตองปาจิตตีย
ผูอื่นท
ําถวาย ภิกษุใชของนั้น ตองทุกกฏ
ตองต
อยกลองเข็มนั้นเสียกอน จึงแสดงอาบัติตก เรียกเภทนกปาจิตตีย ใหทําของอื่น ไมตองอาบัติ
,
แต
ถาใหทําในสมัยที่เขานิยมทํากันมาก ตองทุกกฎ
สิกขาบทที่ ๕ ท
ําเตียงหรือตั่ง

ําเอง หรือใหทํา เตียง หรือ ตั่ง มีเทาเกิน ๘ นิ้วพระสุคต ตองปาจิตตีย์
(วัดจากพื้นขึ้นถึงแม
แคร ๘ นิ้วพระสุคต
, เท
ากับ ๑๐ นิ้ว ๓ กระเบียด ชางไม
) ตองตัดเสียก
อน จึง
แสดงอาบัติตก เรียก เฉทนกปาจิตตีย ไดของที่เขาท
ําเกินประมาณมาใช ตองทุกกฏ
สิกขาบทที่ ๖ ท
ําเตียงหรือตั่งหุมนุน
(ยัดนุ
น
)
เตียงหรือตั่งยัดนุ
น คือ ปุย ที่เกิดจากตนไม จากเถาวัลย ดอกเลา ฝาย ใหรื้อก่อน จึงแสดงอาบัติตก
สิกขาบทที่ ๗ ท
ําผาปูนั่ง
ผาปูนั่ง มีขนาดยาว ๒ คืบ กวางคืบครึ่ง และชายอีก ๑ คืบ โดยคืบพระสุคต ท
ําเกินขนาด ตองปาจิตตีย
สิกขาบทที่ ๘ ท
ําผานุงปดแผล
- ผาปดฝ
ผาปดแผล เช
น ฝ แผลพุพอง มีขนาดยาว ๔ คืบ กวาง ๒ คืบ โดยคืบพระสุคต ทําเกินขนาด ตองปาจิตตีย

สิกขาบทที่ ๙ ท
ําผาอาบน้ําฝน
ผาอาบน้
ําฝน มีขนาดยาว ๖ คืบ กวาง ๒ คืบครึ่ง โดยคืบพระสุคต ทําเกินขนาด ตองปาจิตตีย์
สิกขาบทที่ ๑๐ ท
ําจีวร

ําจีวร ตั้งแตยาว ๙ คืบ กวาง ๖ คืบ ขึ้นไป โดยคืบพระสุคต ตองปาจิตตีย

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 32
ทุกอย
างตามสิกขาบทที่ ๗
, ๘, ๙, ๑๐ ที่ท
ําเกินประมาณ ตองตัดใหไดประมาณเสียกอน จึงแสดง
อาบัติตก คือ พนโทษ
สรุปปาจิตตีย
ขอหามในกัณฑนี้ จัดเป
็นหมวดตามความเสียหายมากหรือนอย ดังนี้
:-
๑. ขอที่ท
ําใหเปนคนเลว เชน กลาวมุสา กลาวสอเสียด
๒. ขอแสดงความดุราย เช
น ดา
, ใหประหาร, ฆ
าสัตวดิรัจฉาน
๓. ขอแสดงอันท
ําใหเสียหาย เชน นอนรวมเขตหลังคาเดียวกับหญิง
, นั่งในที่ลับกับหญิง, เดินทา
งกับผูซ
อนภาษี
๔. ขอส
อความซุกซน เชน วายน้ําเลน
, หลอนใหกลัว
๕. ขอส
อทําใหเสียกิริยา เชน นอมลาภ
, ไม
เอื้อเฟอในพระวินัย
๖. ขอส
อใหเห็นความสะเพรา เชน เอาของสงฆไปใช้แลวไมเก็บ
, บริโภคน้
ําที่มีตัวสัตว์
๗. ขอที่ล
วงแล้วทําใหเสียธรรมเนียม เชนนอนรวมกับอนุปสัมบัน
, ขุดดิน, พรากภูตคาม, ฉันอาหาร
ในเวลาวิกาล
กัณฑที่ ๘ ปาฏิเทสนียะ-เสขิยวัตร
ปาฏิเทสนียะ ๔
สิกขาบทที่ ๑, ๒ ไม
ตองเปนหวง เพราะภิกษุณีไมมีแลว
สิกขาบทที่ ๓
"พระเสขะ" มี ๗ พวก คือ พระผูตั้งอยู
ในโสดาปตติมรรคเปนตน จนถึงพระผูตั้งอยูในอรหัตมรรค
"ตระกูล" คือ บุคคล ผูมีศรัทธาแรงกลา แมมิใช
พระเสขะแตสงฆสมมติใหเปนพระเสขะ เพื่อหาม
มิใหภิกษุรับบิณฑบาตในตระกูลนั้น เวนไว
้แตเขานิมนต์
สิกขาบทที่ ๔
ในปาเปลี่ยวมีพวกโจรอาศัย ภิกษุอยู
ในที่เชนนั้น เมื่อชาวบานไปทําบุญถูกโจรปลน จึงทรงหาม
มิใหภิกษุรับของเคี้ยว ของฉัน ที่เขามิไดบอกใหรูไวก
อน เพื่อปองกันชาวบานถูกทําราย
เสขิยวัตร ๗๕
วัตรที่ภิกษุจะตองศึกษาและตองปฏิบัติ เรียก เสขิยวัตร มี ๗๕ ขอ จัดเปน ๔ หมวด คือ :-
๑. สารูป ว
าดวยธรรมเนียมควรปฏิบัติเวลาอยูในวัดและเวลาเขาบาน ๒๖ ขอ
๒. โภชนปฏิสังยุต ว
าดวยธรรมเนียมรับและฉันบิณฑบาต ๓๐ ขอ
๓. ธัมมเทสนาปฏิสังยุต ว
าดวยธรรมเนียมไมแสดงธรรมแกคนไมเคารพ ๑๖ ขอ
๔. ปกิณณกะ ว
าดวยธรรมเนียมการถายอุจจาระ ปสสาวะ และถมเขฬะ ๓ ขอ
สิกขาบทเหล
านี้ไมไดปรับอาบัติไวโดยตรง ถาไมเอื้อเฟอ ปฏิบัติผิดธรรมเนียมไป ตองอาบัติทุกกฎ
เหมือนกันทุกขอ

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 33
สารูปหมวดที่ ๑ มี ๒๖
๑-๒. ภิกษุพึงท
ําความศึกษาวา เราจักนุง
-ห
มใหเปนปริปริมณฑล

ําวา
ปริมณฑล นั้น คือกลมกล
อมเรียบรอย
นุ
ง เปนปริมณฑล คือ เบื้องบนปดสะดือ พับชายพกไวใน เบื้องลางปดเขา

ม เปนปริมณฑล คือ ในวัดหมเฉวียงบา เปดบาขวา ในบานคลุม ๒ บา
, ขางล
างปกเขา
ทั้งนุ
ง
-ห
ม ตองใหถูกตามแบบที่พระนิยม ไมใชแบบคฤหัสถนิยม ผูบวชใหมยังทําไมชํานาญ

านไมปรับอาบัติ แตผูบวชนานพอสมควรแลวยังรุมราม ตองทุกกฏ
๓-๔. เราจักปดกายดวยดีไป-นั่งในบาน
ในขณะเดินไปหรือนั่งในบ
้านหรือในถนนหนทาง ตองระวังผ้านุง ผาหมที่จัดไว้เรียบรอยแลว อย่า
ใหหลุดลุ
ยเลื่อนขึ้น
-ลง
๕-๖. เราจักระวังมือเทาดวยดีไป-นั่งในบาน
คอยระวัง ไม
กระดิกมือหรือเทาเลน เปนตน
๗-๘. เราจักมีตาทอดลงไป-นั่งในบาน
ให
้ทอดสายตาลงต่ําเปนปกติ จะมองดูสูงในคราวจําเปนก็ได
๙-๑๐. เราจักไม
เวิกผาไป
-นั่งในบาน
ไม
ถกจีวรขึ้นพาดบาจนเห็นสีขาง ไมถกสบงขึ้นเลยเขา
๑๑-๑๒. เราจักไม
หัวเราะไป
-นั่งในบาน
ไม่สรวลเสเฮฮา หรือไม
หัวเราะคิกคัก
, เพียงยิ้มแยมไดอยู

๑๓-๑๔. เราจักไม
พูดเสียงดังไป
-นั่งในบาน
ไม
พูดดังเกินไป แตมิใช่กระซิบ พูดพอคนที่นั่งหาง ๖ ศอกฟงถนัด แตในที่มีคนมากตองกา
รพูดใหไดยินทั่วกัน ก็พูดใหดังขึ้น มิใช
ตะโกนใชได
๑๕-๑๖. เราจักไม
โคลงกายไป
-นั่งในบาน
ไม่โยกกาย เพราะท
ําภูมิ คือทําทาใหสวยงาม หรือเพราะออนแอ ใหเดินหรือนั่งตัวตรง
๑๗-๑๘. เราจักไม
ไกวแขนไป
-นั่งในบาน
ไม่แกว
งไกวแขน เพื่อทําภูมิ หรือเพื่อแสดงลีลา คือ นวยนาด
, ใหหอยแขนไวตามปกติ, เมื่อจ
ําเปน

้องกางแขน เพื่อใหมีกําลังทานตัว ไมมีโทษ
๑๙-๒๐. เราจักไม
สั่นศีรษะไป
-นั่งในบาน
ไม่เดินหรือไม
นั่งคอพับ ใหตั้งศีรษะตรง แมสายหนาพยักหนาในเวลาพูดก็เปนอาการสั่นศีรษะ ควรเวน
๒๑-๒๒. เราจักไม่เอามือค้
ํากายไป
-นั่งในบาน
ไม่เอามือค้
ําบั้นเอว ไมนั่งเทาแขนบนพื้น ไมเทาศอกบนโตะ
๒๓-๒๔. เราจักไม่เอาผาคลุมศีรษะไป-นั่งในบาน
ไม่เอาผ
้าคลุมหรือโพกศีรษะ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ควรเปด

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 34
๒๕. เราจักไม
เดินกระโหยงเทาไปในบาน
กระโหย
ง คือ เหยียบพื้นไมเต็มเทา
๒๖. เราจักไม
นั่งรัดเขาในบาน
ไม่เอามือกอดเข
าหรือไมเอาผารัดเขาในเวลานั่งยอง หรือนั่งขัดสมาธิ หรือนั่งหอยเทา
ตั้งแต
ขอ ๑ ถึง ๒ ตองปฏิบัติทั้งในวัด ทั้งในบาน
ตั้งแต
ขอ ๓ ถึง ๒๖ ตองปฏิบัติโดยเครงครัดในบ้าน แตถาบานเขาจัดหองใหเปนที่พระพักแรมคืน
แรมวัน ก็ปฏิบัติในห
้องนั้นเหมือนในวัดได
โภชนปฏิสังยุตหมวดที่ ๒ มี ๓๐
๑. รับบิณฑบาต โดยเคารพ คือ เอื้อเฟ
อในบุคคลผูใหและในของที่เขาให ไมดูหมิ่น
๒. เมื่อรับบิณฑบาต หามมิใหดูหนาทายก หรือเหม
อไปทางอื่น
๓. เมื่อรับบิณฑบาต หามเลือกรับแต
รายที่มีกับขาว
อย
าผานรายที่ใส่ขาวเปลา
๔. รับบิณฑบาตพอเสมอขอบปากบาตร คือไม
รับจนล้นบาตร เต็มแลวถายรับอีกจนกวาจะทั่วตาม
ศรัทธาของทายกได
๕. ฉันบิณฑบาตโดยเอื้อเฟ
อ
คือ ไม
รังเกียจในของที่ไมดี ไมฉันพลางทําอื่นพลาง
๖. เมื่อฉันบิณฑบาตจักแลดูแต
ในบาตร
คือ ไม
ฉันพลางแลดูอื่นพลาง ถามีเหตุธุระจําเปนก็ดูได
๗. ไม
ขุดขาวสุกให้แหว่ง
คือ ไม
หยิบในที่เดียวจนแหวงลึกลงไป
๘. ฉันแกงพอสมควรแก
ขาวสุก
คือ ไม
ฉันแกงมากเกินควร ไมฉันตะกลาม ถาเขาเลี้ยงแตของอื่น
ไม
มีขาวสุก หรือมีนอย ก็ฉันแกงมากได
๙. ไม่ขยุมขาวสุกแต
ยอดลงไป
คือเมื่อมีขาวพูนเปนยอด ตองเกลี่ยใหเสมอแล
้วจึงฉัน
๑๐. ไม่กลบแกงหรือกับข
้าวดวยขาวสุกเพราะอยากจะไดมาก
คือ เมื่อฉันในที่ทายกเลี้ยงพระ เขา
คอยเติมของฉันถวาย หามมิใหเอาขาวกลบแกง
๑๑. ไม่อาพาธหามขอขาว-แกง มาฉัน แต
ถาเขาเปนญาติ คนปวารณาขอได หรือมิใชญาติ
-ปวารณา
ขอมาใหพระผูอาพาธได
๑๒. ไม
แลดูบาตรของภิกษุสามเณรดวยคิดจะตําหนิวามูมมาม
แต
ถาแลดูดวยคิดจะใหของฉันที่เขา
ยังไม
มี ไมหาม
๑๓. ไม
ทําคําขาวใหใหญขนาดคับปากเคี้ยวไมสะดวก
แมของอื่นนอกจากขาว ถาท
ําเปนคําใหญดู
เป
็นเสียกิริยา ก็ไมควรทํา
๑๔. ตองท
ําคําขาวใหกลมกลอม
เช
น ขาวเหนียวหรือขาวเจาที่หุงเปยก แมของเคี้ยวของฉันทุกอย่าง
ควรท
ําใหเปนคํา ๆ เรียบรอย เชน ขนมจีนตองตัดใหเปนคํา
๑๕. ไม
อาปากรอรับคำขาว
คือ ไม
อาปากเคี้ยวอาหาร อาเฉพาะรับเทานั้น
๑๖. ไม่เอามือสอดเขาปากเวลาฉัน เพราะดูสกปรก (ถากางติดเหงือก ติดคอ ตองคายอาหาร บวน
ปากเสียก
อน จึงสอดมือล้วงออก
)

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 35
๑๗. ไม
พูดขณะที่คําขาวอยูในปาก
ตองกลืนหรือคายแลวจึงพูด
๑๘. ไม
ฉันเดาะคําขาว
คือ ไม่โยนค
ำขาวอาปากรับ เพราะเปนกิริยาซุกซน
๑๙. ไม
ฉันกัดคําขาว
ของอื่นท
านไมหาม
, แต
ถาดูมูมมามนาเกลียด ก็ไมควรกัด
๒๐. ไม
ฉันทํากระพุงแกมใหตุย
ตองฉันค
ําเล็ก ๆ จึงจะไมตุย
๒๑. ไม
ฉันสลัดมือ
ถาเปรอะเป
อนก็เช็ดหรือลางใหสะอาด
๒๒. ไม
ฉันทําเมล็ดขาวอันเหลือจากที่เขาปากใหตกลงในบาตร
-จาน หรือในที่นั้น ๆ
๒๓. ไม
ฉันแลบลิ้น
เพราะเปนกิริยาที่น
าเกลียด
๒๔. ไม
ฉันดังจับ ๆ
ในขณะเคี้ยวของแข็ง
๒๕. ไม
ฉันดังซูด ๆ
ในขณะซดของเหลว
๒๖. ไม
ฉันเลียมือ
คือ แลบลิ้นเลียอาหารที่ติดมือหรือเอามือเล็มเศษอาหารที่ติดมือ ติดชอนส
้อม
แลวส
งเขาปาก ก็ชื่อวา เลียมือเหมือนกัน
๒๗. ไม
ฉันขอดบาตร
ขาวเหลือนอยไม
เต็มคํา หามมิใหตะลอมรวมเขา
๒๘. ไม
เลียริมฝปาก
หากเป
อน ตองเช็ดหรือลาง
๒๙. ไม
เอามือที่เปอนจับภาชนะน้ํา
เพราะภาชนะจะพลอยเป
ื้อนดวย
๓๐. ไม
เอาน้ําลางบาตรมีเมล็ดขาวเทในบาน
แมไม
มีเมล็ดขาว ก็ไม่ควรเท แตควรเทในที่อันเขาจัดไว
ธรรมเนียมฉันอาหารนี้ ควรถือเอาแต
ใจความเปนหลักปฏิบัติ อยามัวหลงในธรรมเนียมจนไมควร
แก
กาละเทศะ และไมควรปลอยปละ ไมเอื้อเฟอจนเสียธรรมเนียม
ธัมมเทสนาปฏิสังยุตหมวดที่ ๓ มี ๑๖
๑. ไม่แสดงธรรมแก่ผูไม
เปนไข มีรมในมือ
คือ ผูกางร
ม ไมใช ถือรม
๒. ไม่แสดงธรรมแก่ผูไม
เปนไข มีไมพลองในมือ
คือ ผูถือไมยาวขนาด ๕ ศอก ส
ําหรับใชตี
๓. ไม
แสดงธรรมแกผูไมเปนไข มีศัสตราในมือ
คือ ผูถือ เครื่องประหารที่มีคม เช
น ดาบ
๔. ไม
แสดงธรรมแกผูไมเปนไข มีอาวุธในมือ
คือ ผูถือเครื่องประหารที่ไม
มีคม เชน ปน
, ศัสตรา กับ
อาวุธแมเขามิไดถือ เพียงผูกสอดไวกับตัว ก็จัดว
าอยูในมือ
แต
ทหารและพลเมืองบางประเทศ เชน มลายู ชวา เขาผูกสอดศัสตราวุธ ตามธรรมเนียม
มิใช
แสดงความดุราย ไมจัดเขาในขอนี้
๕. ไม่แสดงธรรมแก
ผูไมเปนไข สวมเขียงเทา
เขียงเท
้ามีสน
๖. ไม
แสดงธรรมแกผูไมเปนไข สวมรองเทา
รองเทาไม
มีสน
๗. ไม่แสดงธรรมแก
ผูไมเปนไขไปในยาน
คือ เขานั่งรถ เรือ เปนตน ภิกษุเดินไป หรือนั่งรถอีกคัน
หนึ่ง หรือนั่งเรืออีกล
ําหนึ่ง อยางนี้แสดงธรรมไมได
, แต
ถารถ
-เรือใหญ
นั่งไปดวยกัน แสดงธรรมได
๘. ไม
แสดงธรรมแกผูไมเปนไขอยูบนที่นอน
เขาจะนั่งหรือนอนอยู
ก็ตาม บนเตียงหรือฟูกหรือเครื่อง
ปูนอนอื่น ๆ จัดเขาในขอนี้
๙. ไม
แสดงธรรมแกผูไมเปนไขนั่งรัดเขา
รัดดวยผาหรือมือ

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 36
๑๐. ไม่แสดงธรรมแก
ผูไมเปนไขพันศีรษะ
๑๑. ไม่แสดงธรรมแก
ผูไมเปนไขคลุมศีรษะ
แมโพกศีรษะ สวมหมวก ก็จัดเขาในข
้อนี้ แตถาเขามี
ธรรมเนียมนิยมกันโพกศีรษะ สวมหมวก เปนการแสดงความเคารพ ก็ไม
จัดเขาในข้อนี้
๑๒. นั่งบนแผ
นดิน ไมแสดงธรรมแกผูไมเป็นไข้นั่งบนอาสนะ
๑๓. นั่งบนอาสนะต่
ํา ไมแสดงธรรมแกผูไม่เป็นไขนั่งบนอาสนะสูง

ําวา
อาสนะ ในสิกขาบททั้ง ๒ นี้ น
าจะหมายถึงสถานที่อันยกพื้นสูงขึ้นจากดินดวย เชน
พระยืนหรือนั่งบนแผ
นดิน แสดงธรรมแกผูไมเปนไขนั่งบนพื้นโรง พื้นเรือน หรือเกาอี้ หรือแมนั่งบนเสื่อ
อาสนะ เช
นนี้ไมได

ําวา
อาสนะต่
ํา
-สูง หมายถึงพื้นโรงเรือน เก
้าอี้เปนตน ที่ต่ําและสูงกวากัน
๑๔. ยืนอยู
ไมแสดงธรรมแกผูไมเปนไขนั่งอยู
ถือการยืนเปนกิริยาเคารพ จึงหามไว
้อยางนี้ ถายืนทั้ง
ผูแสดง-ผูฟง ไดอยู

๑๕. เดินไปขางหลัง ไม
แสดงธรรมแกผูไมเป็นไขเดินไปขางหนา
ถือการเดินหลังเปนกิริยาเคารพ
๑๖. เดินไปนอกทาง ไม
แสดงธรรมแกผูไมเปนไขเดินไปในทาง
ถือการเดินนอกทาง คือ เลี่ยงออก
นอกทางเดิน เปนกิริยาเคารพ
ทั้ง ๑๖ นี้ เปนขอหามภิกษุมิใหแสดงธรรมแก
ผูที่ไมเคารพ ภิกษุฝาฝนก็มีโทษ ตองทุกกฎแตละอย่าง

ปกิณณกะหมวดที่ ๔ มี ๑
๑. เราไม
เปนไขจักไมยืนถายอุจจาระ
-ปสสาวะ เปนธรรมเนียมของภิกษุนั่งถ
าย
๒. เราไม
เปนไขจักไมถายอุจจาระ
-ปสสาวะ บวนเขฬะลงในของเขียว
เขฬะ คือน้
ําลาย
ของเขียว คือ พืชผักหญาขาวกลา เปนตน แมมีสีไม
เขียวที่เขาปลูกไวเพื่อ
ประโยชน
์ทุกอยาง ที่ยังเปนอยู่
, ส
วนหญาที่รกรุงรัง ไมมีใครตองการ ไมจัดเขาในคําวาของเขียวนี้
๓. เราไม
เปนไขจักไมถายอุจจาระ
-ปสสาวะ บวนเขฬะ ลงในน้
ํา
น้
ํา
หมายถึงน้
ําที่ในบอ สระ แมบึง หนอง คลอง ที่เขาตองการใชสอย จัดเขาในขอนี้ สวนน้ํา
ทะเลไม
จัดเขา แมในคราวน้ําไหลบาทวม ไมมีที่บกจะถาย ทานอนุญาต
ในหมวดนี้ปรับอาบัติทุกกฎ เพราะไม
เอื้อเฟอ และมีขอยกเวนตามเคย
กัณฑที่ ๙ อธิกรณสมถะ
อธิกรณ มี ๔ ๑. วิวาทาธิกรณ ความเถียงเรื่องธรรม เรื่องวินัย
๒. อนุวาทาธิกรณ ความโจทกันดวยอาบัติ
๓. อาปตตาธิกรณ

ความต
้องอาบัติทั้งปวง
๔. กิจจาธิกรณ กิจที่สงฆ
์ควรทํา เชน ใหอุปสมบท

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 37
อธิกรณสมถะ มี ๗
ธรรมเปนเครื่องระงับอธิกรณ ๔ อย
าง อยางใดอยางหนึ่งที่เกิดขึ้น เรียกอธิกรณสมถะ มี ๗ คือ
:-
๑. สัมมุขาวินัย ระงับหรือวินิจฉัยในที่พรอมหนา
ก. พร
้อมหนาสงฆ์
๔ รูปขึ้นไป
ข. พร
้อมหนาบุคคล
ผูเกี่ยวของในเรื่อง
ค. พร
้อมหนาวัตถุ
คือเรื่องที่ยกขึ้นวินิจฉัย
ง. พรอมหนาธรรม คือวินิจฉัยถูกตองโดยธรรมโดยวินัย
๒. สติวินัย สงฆสวดใหสมมติแก
พระอรหันต วามีสติเต็มที่ ใครจะโจททานดวยอาบัติมิได
๓. อมูฬหวินัย สงฆสวดใหสมมติแก
ภิกษุผูหายเปนบาแลว มิให ใครโจททานดวยความผิดที่เธอทํา
ในขณะเปนบา
๔. ปฏิญญาตกรณะ ท
ําตามรับ ปรับอาบัติตามที่จําเลยยอมรับ เชน ในอนิยต ตอนวา
"ภิกษุรับ
อย่างใด ใหปรับอย
างนั้น
"
๕. เยภุยยสิกา ตัดสินเอาตามค
ำขอของคนมาก ใชไดในเมื่อคนทั้งหลายมีความเห็นตางกัน
๖. ตัสสปาปยสิกา กิริยาที่ลงโทษแก
ผูผิด แมไมรับ ถาพิจารณาสมจริงตามที่โจทก็ปรับโทษได เชน
ในอนิยต ตอนว
า
"เขาว
าจําเพาะธรรมอยางใด ใหปรับอยางนั้น
"
๗. ติณวัตถารกวินัย ระเบียบดังกลบไวดวยหญ
้า คือ ประนีประนอมกันทั้ง ๒ ฝาย ไมตองชําระ
ความเดิม เช
น เรื่องภิกษุชาวเมืองโกสัมพีแตกกัน
อธิกรณสมถะขอไหน ระงับอธิกรณอะไร พึงทราบดังต
อไปนี้
:-
สัมมุขาวินัย ระงับอธิกรณไดทุกอย
าง
สติวินัย อมูฬหวินัย ตัสสปาปยสิกา ระงับอนุวาทาธิกรณ
ปฏิญญาตกรณะ ติณวัตถารกะ ระงับเฉพาะอาปตตาธิกรณ และอนุวาทาธิกรณ
เยภุยยสิกา ระงับวิวาทาธิกรณ
สิกขาบท ๒๒๗ นี้ ทรงอนุญาตใหสงฆสวดทุกกึ่งเดือน รวมเรียกว
า พระปาติโมกข เปนหลักสําคัญ
ของพระภิกษุ
สิกขาบทนอกนี้ ที่ยกขึ้นเปนอาบัติ ถุลลัจจัยบาง ทุกกฎบาง ทุพภาสิตบ
้าง ไมไดมาในพระปาติโมกข์
กัณฑที่ ๑๐ มาตรา
มาตรา ไดแก
กิริยากําหนดประมาณ ในที่นี้มี ๕ ประเภท คือ
:-
๑. มาตราเวลา ๒. มาตราวัด ๓. มาตราตวง
๔. มาตราชั่ง ๕. มาตรารูปยะ
๑. มาตราเวลา
๑๕ วันบาง, ๑๔ วันบาง เปน ๑ ปกษ
๒ ปกษ (๒๙ วันบาง, ๓๐ วันบาง) เปน ๑ เดือน

สรุปเนื้อหาวินัยมุข เล่ม ๑ 38
๔ เดือน (บาง, ๕ เดือนบาง) เปน ๑ ฤดู
๓ ฤดู (๑๒ เดือนบ
้าง
, ๑๓ เดือนบาง) เปน ๑ ป
ฤดู ๓ มีชื่ออย
างนี้
:-
๑. เหมันตฤดู ฤดูหนาว ตั้งตน แรม ๑ ค่
ํา เดือน ๑๒ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ํา
เดือน ๔
๒. คิมหฤดู ฤดูรอน ตั้งตน แรม ๑ ค่
ํา เดือน ๔
ถึงขึ้น ๑๕ ค่
ํา
เดือน ๘
๓. วัสสานฤดู ฤดฝนู ตั้งตน แรม ๑ ค่
ํา เดือน ๘
ถึงขึ้น ๑๕ ค่
ํา
เดือน ๑๒
อธิบายศัพทพิเศษ
บัณเฑาะก ไดแก
บุคคล ๓ จําพวก คือ
:-
๑. ชายผูประพฤตินอกรีตในทางเสพกาม (ผูมีราคะกลา) คือเปนผูชายมีอวัยวะเพศเปนชายโดย
สมบูรณ แต
เสพกามกับผูชายดวยกัน ทางเวจมรรคและทางปาก
, บุคคลจ
ําพวกนี้มีจิตใจและการแตงตัว
เป
็นผูชายแตกิริยาออนชอยคลายผูหญิง
, ปจจุบันมีศัพทเรียกเปนภาษาแสลงว
า
"เกย" เมื่อเสพกาม คน
หนึ่งท
ําหนาที่เปนชาย คนหนึ่งทําหนาที่เปนหญิง
๒. ชายผูถูกตอน (จีนเรียกขันที) คือผูชายที่ถูกตัดอวัยวะเพศออกหมด ทั้งส
วนที่เปนองคชาตและ
อัณฑะ, บุคคลจ
ําพวกนี้ขาดฮอรโมนเพศชาย จึงไมมีความรูสึกทางเพศ แตความสํานึกและจิตใจรวมทั้ง
ความแข็งแรง ยังเหมือนผูชายโดยสมบูรณ

๓. กะเทย คือคนหรือสัตวที่ไม
ปรากฏวาเปนชายหรือหญิง มีหลายอยาง เชน บางคนมีตัวบังคับ
(ยีน) เปนผูชาย บุคคลนั้นก็เปนผูชาย แต
ผิดปกติที่อวัยวะเพศทําใหมีลักษณะคลายอวัยวะเพศของสตรี
บางคนมีตัวบังคับ (ยีน) เปนผูหญิง บุคคลนั้นก็เปนผูหญิง แต
อวัยวะเพศบางสวนมีขนาดใหญ จึง

ําใหดูคลายองคชาตของผูชาย
ในทางพระพุทธศาสนา ค
ําวา บัณเฑาะก
-กะเทย-อุภโตพยัญชนกะ หมายเอาบุคคลในขอ ๓ นี้เอง
การตอน และ การท
ําหมัน
ทั้ง ๒ อย่างนี้ มีจุดประสงคเหมือนกัน คือท
ําใหไมสามารถสืบพันธุกับ
เพศตรงกันขามได, แต
มีความตางกันที่วิธีทํา คือ
:-
๑. การตอน ในเพศผู คือตัดอัณฑะออก ท
ําใหเชื้อเพศผูหมดไป เพราะไมมีแหลงสรางเชื้อ
๒. การท
ําหมัน
ในเพศผู คือท
ําโดยผูกทอน้ําเชื้อไว จึงมีเชื้ออสุจิอยู แตออกมาไมได บุคคลนั้นจึงสืบ
พันธุไม
ได
Tags