SlidePub
Home
Categories
Login
Register
Home
Non-Profit
บทที่ 1 is v.pdf
บทที่ 1 is v.pdf
peerapatchoochote
25 views
37 slides
Jan 30, 2024
Slide
1
of 37
Previous
Next
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
About This Presentation
is
Size:
863.79 KB
Language:
none
Added:
Jan 30, 2024
Slides:
37 pages
Slide Content
Slide 1
การศึกษา เรื่องผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ
นายณัฐวัชร ไชยวรรณ เลขที่ 10
นายพีรพัฒน์ ชูโชติ เลขที่ 11
นายพีรพัฒน์ เทียรสิวา เลขที่ 12
นายวสุธัญ เรืองโชติ เลขที่ 13
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/16
การศึกษาฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการสื่อสารและการน าเสนอ (IS2)
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566
โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม
ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี
Slide 2
การศึกษา เรื่องผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ
นายณัฐวัชร ไชยวรรณ เลขที่ 10
นายพีรพัฒน์ ชูโชติ เลขที่ 11
นายพีรพัฒน์ เทียรสิวา เลขที่ 12
นายวสุธัญ เรืองโชติ เลขที่ 13
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/16
Slide 3
บทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง
การศึกษา การท าผ้ามัดย้อมจากดอกอัญชัน
คณะผู้จัดท า ณัฐวัชร ไชยวรรณ
พีรพัฒน์ ชูโชติ
พีรพัฒน์ เทียรสิวา
วสุธัญ เรืองโชติ
อาจารย์ที่ปรึกษา นางกานดา ยนตรการก าจร
นายนพพร มีชีพสม
โรงเรียน ธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม
ปีการศึกษา 2566
บทคัดย่อ โครงงานเรื่อง การย้อมผ้าจากดอกอัญชัน เป็นการน าดอกอัญชัน สามารถน าดอกอัญชันทา
ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่ก่อให้เกิดมลพิษ มีสีสันที่สดใสสวยงาม และผ้าที่ได้ก็ไม่เป็น
อันตรายต่อร่างกายเวลาสวมใส่ วัตถุประสงค์ที่จัดท าโครงงานนี้ขึ้นเพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย ประโยชน์
โดยการย้อมผ้าจากเปลือกมังคุดที่ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตราย ให้รู้จักการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
Slide 4
กิตติกรรมประกาศ
รายงานจากการศึกษาค้นคว้าอินสระฉบับนี้ส าเร็จได้ด้วยความอนุเคราะห์ของบุคคลหลาย ท่านซึ่งไม่
อาจจะน ามากล่าวได้ทั้งหมด
ซึ่งผู้มีพระคุณคือ คุณกานดา ยนตรการก าจร และ คุณนพพร มีชีพสม ครูผู้สอนที่ให้ความรู้ ค าแนะน า
ตรวจทานและแก้ไขข้อบพร่องต่างๆด้วยความเอาใจใส่ทุกขั้นตอนเพื่อให้การเขียนรายงาน การศึกษาการ
ค้นคว้าอิสระฉบับนี้สมบูรณ์ที่สุดและให้ค าแนะน าตรวจทาน และแก้ไขข้อบกพร่อง ต่างๆ เทคนิคการน าเสนอ
รายงานปากเปล่าคณะผู้จัดท าใคร่ขอกราบขอบระคุณเป็นอย่างสูงไว ณ โอกาสนี้
และขอบคุณนักเรียนห้องเรียนคุณภาพระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียน ธรรมศาสตร์คลอง
หลวงวิทยาคมที่ช่วยให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ในการสืบค้น ข้อมูลแลกเปลี่ยนความรู้ความคิด
และให้ก าลังใจในการศึกษาค้นคว้าตลอดมา
ขอขอบพระคุณคุณพ่อและคุณแม่ที่อยู่เบื้องหลังในความส าเร็จที่ได้ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนและ
ให้ก าลังใจตลอดมา
คณะผู้จัดท า
Slide 5
สารบัญ
เรื่อง หน้า
บทคัดย่อ ก
กิตติกรรมประกาศ ข
สารบัญ ค
บทที่ 1 บทน า 1
ที่มาและความส าคัญของปัญหาไม่พบรายการสารบัญภาพ 1
วัตถุประสงค์ 1
สมมติฐาน 1
ขอบเขตการศึกษา 1
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2
ประวัติของผ้ามัดย้อม 2
วัสดุอุปกรณ์ในการท าผ้ามัดย้อม 2
การออกแบบผ้ามัดย้อม 2
วิธีการย้อม 3
คุณสมบัติของผ้ามัดย้อม 3
แนวคิดในการใช้ผ้ามัดย้อม 3
สีย้อมผ้าจากธรรมชาติ 4
ประวัติและสรรพคุณของดอกไม้และผลไม้ที่น ามาย้อมผ้า 5
Slide 6
บทที่ 3 วิธีการด าเนินงาน 24
เครื่องมือ 24
วัตถุดิบที่ใช้ 24
ขั้นตอนในการท า 24
ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา 24
ขั้นตอนการท าโลโก้ 24
บทที่ 4 ผลการทดลอง 25
บทที่ 5 สรุปผลอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 27
วัตถุประสงค์ของการศึกษา 27
สมมุตติฐานของการศึกษา 27
การวิเคราะห์ข้อมูล 28
สรุปผลการศึกษา 29
บรรณานุกรม
Slide 7
บทที่ 1
บทน า
1 ที่มาและความส าคัญของปัญหา
เนื่องจากในปัจจุบันสีที่ใช้ย้อมเสื้อผ้านั้นมักท ามาจากสารเคมี มีราคาสูง และสารเคมีที่ใช้อาจม
อันตรายต่อร่างกาย ของเราได้ การย้อมสีผ้าด้วยสีธรรมชาติเป็นทางเลือกที่ดี และนับเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอ
ดันมาแต่ในอดีต โดยกระบวนการย้อมสามารถหาสีย้อมได้จากวัสดุธรรมชาติที่มีในท้องถิ่น ซึ่งเป็นเศษวัสดุ
เหลือใช้ มีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังน าของที่เหลือใช้มาสร้างมูลค่าเพิ่ม
เสื้อ ผ้าที่เราสวมใส่กันอยู่เป็นประจ าสวยเด่นน าแฟชั่นเพียงใดหลายคนทราบดี แต่ส าหรับขั้นตอนการ
ผลิตนั้นคงยากที่ใครจะสนใจว่าปลอดภัย จากสารพิษหรือไม่และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร เพราะถือ
เป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงแล้วมันใกล้ปากเราเพียงนิดเดียว เนื่องจากมีการใช้สารพิษในกระบวนการผลิตที่มี
ผลกระทบต่อแหล่งน้ าและอาหารของ มนุษย์ ซึ่งในอนาคตหากไม่มีการป้องกันจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ทั่ว
โลก
ทางคณะผู้จัดท าจึงเล็งเห็นถึงความส าคัญของการใช้สีย้อมผ้าจากเศษวัสดุจากธรรมชาติแทนการใช้สี
ย้อมผ้าจากสารเคมี ทั้งนี้จึงเลือกใช้เศษวัสดุเหลือใช้จากธรรมชาติ ได้แก่ เปลือกมังคุด ซึ่งมังคุดได้ชื่อว่าเป็น
ราชินีผลไม้ประจ า จังหวัดจันทบุรี เปลือกมังคุดจึงหาได้ง่ายในท้องถิ่น อีกทั้งคณะผู้จัดท ายังค้นคว้าสีย้อมอื่นๆ
เพิ่มเติมดังนี้ ดอกอัญชันแห้ง ดอกดาวเรือง ดอกอัญชันแห้ง มังคุด หอมหัวใหญ่ กล้วย ขมิ้น ขี้เหล็กบ้าน ซึ่ง
เป็นวัสดุเหลือใช้ที่หาได้ง่ายในครัวเรือน ให้สีที่ติดทน เป็นการเพิ่มมูลค่าให้วัสดุเหลือใช้ ยังเป็นการประหยัด
ค่าใช้จ่ายด้วย
2 วัตถุประสงค์
ศึกษาสีย้อมผ้าจากวัสดุธรรมชาติท าปฏิกิริยากับสารช่วยสีติดชนิดใดได้สีที่สวยที่สุด
3 สมมติฐาน
การย้อมผ้าจากธรรมชาติ เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์
การย้อมผ้าจากธรรมชาติ สามารถสร้างรายได้และเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ผ้าทอ
การย้อมผ้าจากธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
4 ขอบเขตการศึกษา
4.1 ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
- ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นม 5 โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวง
วิทยาคม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 808 คน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นม 5 ห้อง 16โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวง
วิทยาคม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 40 คน
4.2 ขอบเขตด้านสถานที่
โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม
Slide 8
4.3 ขอบเขตเนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา
เนื้อหาที่ใช้ในกาศึกษาเป็นเนื้อหาที่เลือกจากปัญหาที่ผมในสารเคมีในผ้ามัดย้อมที่ส่งผลต่อ
การแพ้
4.4 ขอบเขตด้านระยะเวลา
ท าโครงงานในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม พ.ศ. 2566
5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
6.1 ได้ผลิตภัณฑ์สีย้อมผ้าจากธรรมชาติที่มีสีสันสวยงาม
6.2 เป็นการน าเศษวัสดุเหลือใช้ที่ได้จากธรรมชาติในท้องถิ่น มาเพิ่มมูลค่า
Slide 9
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
เอกสารและการวิจัยที่งานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีหัวข้อดังต่อไปนี้
1 ประวัติของผ้ามัดย้อม
2 วัสดุอุปกรณ์ในการท าผ้ามัดย้อม
3 การออกแบบผ้ามัดย้อม
4 วิธีการย้อม
5 คุณสมบัติของผ้ามัดย้อม
6 แนวคิดในการใช้ผ้ามัดย้อม
7 สีย้อมผ้าจากธรรมชาติ
8 ประวัติและสรรพคุณของดอกไม้และผลไม้ที่น ามาย้อมผ้า
1 ประวัติของผ้ามัดย้อม
การท าผ้ามัดย้อมอาจเริ่มเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจของคนสมัยโบราณ โดยนักมนุษยวิทยาสันนิษฐานว่า อาจ
มี แนวความคิดมาจากการฟอกสีออกด้วยแสงอาทิตย์โดยบังเอิญ ซึ่งหลักฐานความรู้ที่พอจะเชื่อถือได้แสดงให้
เห็นว่า ประเทศในยุคแรก ๆ ที่มีการมัดย้อมผ้า คือ อินเดีย จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และแอฟริกาที่มีความคุ้นเคย
กับเทคนิคการใช้ สีย้อมที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในประเทศอินเดีย ผ้ามัดย้อมจะเป็นที่รู้จักกันในชนบท
สมัยก่อน ซึ่งพบหลักฐานจาก เศษผ้าเมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ ปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงความรู้และประสบการณ์ใน
การใช้สีย้อม เช่น สาหรี เป็นต้น หรือ ชนเผ่ายิบซีที่เคยอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของอินเดีย ก็ปรากฏให้เห็นศิลปะ
ของการมัดย้อมผ่านเครื่องแต่งกายในปัจจุบัน ส่วนในบาหลี ประเทศอินโดนีเซียก็มีศิลปะของการมัดย้อม
เช่นเดียวกัน โดยจะเรียกการมัดย้อมนี้ว่า เปลังกิ เป็นต้น
2 วัสดุอุปกรณ์ในการท าผ้ามัดย้อม
1.ผ้า
2.สบู่
3.ดอกอัญชัน
4.หม้อสแตนเลส
5.ไม้พาย
6.เตาแก๊ส
7.กะละมัง
3.การออกแบบผ้ามัดย้อม
Slide 10
การออกแบบลายผ้าโดยการพับจีบแล้วมัดนั้นเป็นเทคนิคที่กว้าง มีอิสระในการออกแบบลวดลายและ
วิธีมีดได้หลายอย่าง ทั้งนี้เนื่องจากหัวใจหลักของการพับจีบแล้วมัด คือ “การหาวิธีให้ผ้าได้สัมผัสสีโดยทั่วถึง
เฉพาะบริเวณภายนอกที่ไม่ได้กันสีหรือมัด” ดังนั้น การจะพับเป็นจีบ การมัดผ้า การน าเอาวัสดุอื่นเข้าไปใน
ผืนผ้าแล้วมัดให้เป็นจีบ ยังเป็นวิธีการที่ให้ผ้าสัมผัสได้น้ าสี และไม่ซึมเข้าในขอบเขตที่ได้มัดไว้รูปร่างของ
ลวดลายจะเกิดจากรอยพับจีบมัด และรอยพับจีบของผ้าที่ห่อห้อมวัสดุอื่น หรือรอยอันเกิดจากการมัด
ลวดลายจากการมัดย้อมเกิดจากการ ผูก มัด เย็บ หนีบ หรือ การสกัดสี ในส่วนใดส่วนหนึ่งของผ้าที่ผู้ย้อมไม่
ต้องการให้เกิดสีที่จะย้อมในครั้งนั้น โดยใช้วัสดุต่าง เช่น ยางรัด เชือก เหรียญ เชือกฝาง ไม้หนีบ ด้าย หรือ
ถุงพลาสติก มาเป็น วัสดุช่วยในการกัดสี ร่วมกับการม้วน พับ จับ จีบ ขยาย หรือการเย็บผ้า ซึ่งจะให้ผลลัพธ์
ของลายที่แตกต่างกันออกไปที้งนี้ขึ้นอยู่ กับวิธีการในการออกแบบสีและการผสมผสานเทคนิคต่างเข้าไป
ด้วยกันของผู้ย้อม
4 วิธีการย้อม
วิธีการย้อมสีมีวิธีการย้อมด้วยกัน 3 วิธี
1. การย้อมแบบจุ่ม ต้องเอาผ้าที่ต้องการย้อมจุ่มลงในน้ าย้อมที่มีตัวสีย้อมและสารช่วยย้อมละลาย
รวมกันมีความเข้มข้นที่เหมาะสม ผ้าที่ย้อมจะเคลื่อนไปไหวโดยกระบวนการเชิงกล หรือในทางกลับกันน้ าจะ
ไหลเวียนโดยผ้านั้นหยุดนิ่ง กล่าวคือน้ าเคลื่อนที่หรือผ้าเคลื่อนที่มีจุดมุ่งหมายให้ย้อมผ้าได้พอดีสีติดอย่าง
สม่ าเสมอ
2. ย้อมแบบต่อเนื่องเป็นวิธีย้อมสีโดยผ้าผ่านมาจากเครื่องย้อมที่ท าหน้าที่อย่างหนึ่งไปสู่เครื่องย้อมที่
ท าหน้าที่อีกอย่างหนึ่งจนกว่าจะย้อมเสร็จ เริ่มจากการผ่านผ้าลงจุ่มในน้ าสีส่งไปบีบเอาน้ าออกให้เหลือเพียง
เท่าที่ต้องการ ส่งไปท าให้สีรวมตัวและท าให้ติดผ้า
3. ย้อมด้วยการระบายสีหรือพิมพ์สีลงบนผืนผ้าให้เนื้อสีซึมติดเส้นใยผ้าจากด้านบนลงล่าง สีจะซึมลง
ในเน้อผ้าทั้งสองด้านการระบายซ้ าจึงท าให้สีติดเส้นใยเข้มและแน่น ส่วนการพิมพ์ผ้าสีติดผ้าเฉพาะด้านหลัง
เท่านั้น
5 คุณสมบัติของผ้ามัดย้อม
คุณลักษณะของผ้าหรือเส้นใยผ้าแต่ละชนิดที่ทนต่อสภาพการณ์บางอย่างแตกต่างกัน การดูดซึมสี
แตกต่างกันรวมทั้งมีลักษณะต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงมีความส าคัญที่ผู้บริโภคควรรู้ชนิดของเส้นใยผ้าที่
แตกต่างกันย้อมมีผลท าให้คุณสมบัติของผ้าแตกต่างกัน คุณสมบัตินี้บางทีท าให้ผ้าน่าใช้ดูแลง่ายสามารถน ามา
ตกแต่งแปรรูป ย้อมสีเขียนลวดลาย และเลือกสีใช้ได้เหมาะสม
6 แนวคิดในการใช้ผ้ามัดย้อม
เทคนิคการใช้ผ้ามาผูกแล้วย้อมสี หรือการมัดย้อมนี้มีที่ใช้อย่างไม่จ ากัดแบะเพิ่งมีการสนใจอย่าง
จริงจัง ศิลปินได้พยายามผสมผสานวิธการต่าง ๆ เพื่อให้ได้รูปแบบต่าง ๆ ในมิติใหม่ ๆ นอกเหนือไปจากรูปแบบ
Slide 11
ที่ท าได้อยู่เดิม สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับจินตนาการความหลักแหลมและความสามารถในการออกแบบของแต่ละคน
ว่าสามารถท าได้แปลกใหม่แค่ไหน การเย็บและสอยมักจะเป็นวิธีการที่ไปด้วยกันกับเทคนิคการท าผ้ามัดย้อม
โดยธรรมชาติอยู่แล้ว หลังจากที่แก้ที่ผูกออก ผ้าจะยังคงมีรอยยับเพราะการบิดของเนื้อผ้าศิลปินมากคนได้
ออกแบบอย่างอย่างฉลาดได้โดยการใช้ด้ายและเข็มเย็บบริเวณที่เป็นรอยผูก เป็นการจัดแบบให้มีพื้นผิวนูน
7.สีย้อมผ้าจากธรรมชาติ
สีที่ได้จากธรรมชาติ เป็นความรู้ดั่งเดิมที่สืบทอดกันมาจากปู่ย่าตายาย แหล่งวัตถุดิบสีธรรมชาติยัง
สามารถหาได้จากต้นไม้ ใบไม้ ที่ให้สีสันสวยงามตามที่เราต้องการและหาได้ไม่ยาก ซึ่งปัจจุบันมีกาส่งเสริมให้ใช้
วัสดุจากธรรมชาติกันมากขึ้น เพราะผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมาก และ
กรรมวิธีผลิตที่แตกต่างกัน ท าให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีความสวยงามและหลากหลาย
1 การย้อมสีเขียวจากเปลือกต้นเพกา
เอาเปลือกเพกามาหั่น หรือสับให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ น าไปต้ม 20 นาที ช้อนเอาเปลือกออก ต้มเถาถั่ว
แปบเอาแต่น้ าใสเติมลงไปใส่น้ ามะเกลือกเล็กน้อย ใส่ปูนขาวและใบส้มป่อยผสมลงไป ทิ้งไว้สักพัก แล้วกรอง
ให้เหลือแต่น้ าสีพร้อมที่จะย้อม น าเอาน้ าย้อมตั้งไฟพออุ่น น าด้ายฝ้ายซึ่งซุบน้ าบิดพอหมาด จุ่มลงในอ่างย้อม
ต้มต่อไปนาน 20 นาที จนได้สีที่ต้องการ ยกด้ายฝ้ายออก ซักน้ าสะอาดใส่ราวกระตุกตากจนแห้ง จะได้สี
เขียวตามต้องการ
2 การย้อมสีด าจากเปลือกสมอ
ให้เอาเปลือกสมอมาต้มเคี่ยวให้แห้งจนงวดพอสมควร รินเอาแต่น้ าใส่หม้อดิน เอาด้ายฝ้ายที่เตรียม
ไว้ลงย้อมขณะที่น้ าสียังร้อนอยู่ จะได้สีด าแกมเขียวเข้ม ถ้าต้องการได้สีเขียว ใช้ด้ายฝ้ายที่ผ่านการย้อมสี
ครามมาย้อมจะได้สีเขียวตามต้องการ
3 การย้อมสีเขียวจากเปลือกสมอ เอาเปลือกสมอมาต้มเคี่ยวให้แห้งพอสมควร รินเอาแต่น้ าใส่หม้อดิน เอา
ด้ายฝ้ายที่ผ่านการย้อมครามมาครั้งหนึ่งแล้ว ลงไปย้อมในน้ าสีที่ยังร้อนอยู่ ต้มต่อไปประมาณ 1 ชั่วโมง
หมั่นกลับด้ายฝ้ายไปมา เพื่อให้สีดูดซึมอย่างสม่ าเสมอ พอได้สีตามต้องการยกด้ายฝ้ายขึ้นกระตุก ตากให้แห้ง
จะได้สีเขียวตามต้องการ
4 การย้อมสีจากเปลือกรกฟ้า
โดยการแช่เปลือกต้นรกฟ้าในปริมาณพอสมควรไว้นาน 3 วันแล้วตั้งไฟต้ม ให้เดือด จนเห็นว่าสีออก
หมดดีแล้ว จึงเทน้ าย้อมใส่ลงในอ่างย้อมหมักแช่ไว้ 1 คืน น าเอาเปลือกไม้ผึ่งแดด จนแห้ง เก็บไว้ใช้ต่อไป
สีเปลือกไม้นี้ถ้าถูกต้มจะกลายเป็นสีด าได้
5 การย้อมสีกากีแกมเขียวจากเปลือกเพกากับแก่นขนุน
Slide 12
เอาเปลือกเพกาสด ๆ มาล้างน้ า ผึ่งแดดสัก 2-3 แดด พักทิ้งไว้ เอาแก่นขนุนหั่นหรือไสให้เป็นชิ้น
บาง ๆ แบ่งเอามา 1 ส่วน ผสมกับเปลือกเพกา 3 ส่วน ต้มเคี่ยวให้น้ าเดือดแล้วกรองเอาแต่น้ า เวลาย้อม
เติมน้ าสารส้มเล็กน้อยเพื่อให้สีติดดีและทนทาน การย้อมเอาด้ายฝ้ายซึ่งชุบน้ าแล้วบิดพอหมาดลงในอ่างย้อม
หมั่นกลับด้ายฝ้ายไปมา เพื่อให้สีติดสม่ าเสมอ ไม่ด่าง จึงยกด้ายฝ้ายขึ้นซักน้ าให้สะอาดบิดกระตุก ตาก
6 การย้อมสีน้ าตาลแก่จากเปลือกไม้โกงกาง
น าเอาเปลือกไม้โกงกางที่แห้งพอหมาด มาล้างน้ าให้สะอาด แช่น้ าไว้ 1 คืน แล้วต้มเคี่ยวไว้ 2
วัน กรองเอาแต่น้ าย้อมใส่สารเคมีไฮโดรเจนซัลไฟต์ ผสมลงในน้ าย้อมเล็กน้อย เพื่อให้สีติดดีขึ้น เอาด้ายฝ้าย
ที่ชุบน้ าพอหมาดจุ่มลงในน้ าย้อม ตั้งไฟต้มนาน 30 นาที ยกด้ายฝ้ายขึ้นซักน้ า บิดให้แห้ง กระตุกด้ายฝ้ายให้
กระจาย ตากแดด
7 การย้อมสีเปลือกไม้โกงกาง
แช่เปลือกไม้โกงกางในปริมาณพอสมควรไว้นาน 3 วัน แล้วตั้งไฟต้มให้เดือด จนเห็นว่าสีออกหมดดี
แล้ว จึงเทน้ าย้อมใส่ลงใสอ่างย้อม หมักแช่ไว้ 1 คืน น าเอาเปลือกไม้ผึ่งแดดจนแห้งเก็บไว้ใช้ต่อไป สี
เปลือกไม้นี้ถ้าถูกต้มจะกลายเป็นสีด าได้ แต่ทนน้ าเค็ม
8 การย้อมสีด้วยรากยอ
เอารากยอแห้งที่มีอายุสักหน่อย เพื่อจะให้ได้สีเข้มมาสับหรือหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ น าไปต้มน้ าเดือด น้ าสี
จะเป็นสีแดงจึงยกลง กรองเอาแต่น้ าสี น าเอาด้ายฝ้ายซึ่งเตรียมจะย้อมชุบน้ าให้เปลือกพอหมาดลงแช่ในน้ าสี
ประมาณ 30 นาที หรือกว่านั้น หมั่นยกด้ายฝ้ายกลับไปกลับมาเพื่อให้สีติดด้ายฝ้ายอย่างทั่วถึง แล้วน าด้าย
ฝ้ายที่ย้อมขึ้นจากหม้อบิดพอหมาด น าไปล้างน้ าสะอาด แล้วผึ่งให้แห้ง จะได้ด้ายฝ้ายที่ย้อมเป็นสีแดงตาม
ต้องการ
8 การย้อมสีด้วยเมล็ดค าแสด
วิธีเตรียมสีจากเมล็ดค าแสด แกะเมล็ดออกจากผลที่แก่จัด แช่น้ าร้อนหมักทิ้งไว้หลาย ๆ วัน จนสารสี
ตกตะกอน แยกเมล็ดออก น าน้ าสีที่ได้ไปเคี่ยวจนงวดเกือบแห้งแล้วน าไปตากแดด จนแห้งเป็นผงเก็บไว้ใช้
9 วิธีย้อมสีผ้าฝ้าย
ละลายสีเช่นเดียวกับการย้อมผ้าฝ้าย แต่น าผ้าไหมที่ต้องการย้อมแช่ไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง และเติม
สบู่ลงเล็กน้อยลงไปในสีที่ใช้ย้อม ถ้าต้องการให้ผ้ามีสีเหลืองเพิ่มขึ้นให้เติมกรด tataric ลงไปเล็กน้อย ผ้าที่
ย้อมด้วยสีจากเมล็ดค าแสดที่จะไม่ตกง่ายเมื่อถูกับสบู่ หรือกรดอ่อน ๆ
10 การย้อมสีด าจากลูกมะเกลือ
Slide 13
น าเอาลูกมะเกลือมาต าละเอียด แล้วแช่ในน้ า ในน้ าที่แช่นี้เอารากล าเจียก หรือต้นเบงต าปนกับลูก
มะเกลือ แล้วเอาด้ายฝ้ายที่ลงน้ าแล้วบิดพอหมาดลงย้อมในน้ าย้อม สัก 3-4 ครั้ง การย้อมทุกครั้งต้องตาก
แดดให้แห้งจนเห็นว่าด าสนิทดี ถ้าต้องการให้ผ้าเป็นเงาใช้งาด าต าละเอียด น าด้ายฝ้ายมาคลุกเคล้าให้ทั่ว ผึ่ง
ไว้สักพัก กระตุกตาก
11 การย้อมอีกวิธีหนึ่งคือ
เอาลูกมะเกลือที่แช่น้ าทิ้งไว้นั้นในปริมาณที่ต้องการมาต าให้ละเอียดพร้อมกับใบหญ้าฮ่อมเกี่ยวแล้ว
เอาไปแช่ในน้ าด่าง (ได้จากต้นมะขามเผาไฟให้เป็นขี้เถ้า แล้วละลายน้ ากรองเอาน้ าใส ๆ จะได้น้ าย้อมที่
ต้องการ) น าเอาด้ายฝ้ายที่ลงน้ าบิดพอหมาด จุ่มลงในอ่างย้อม ใช้มือช่วยบีบด้วยฝ้ายเพื่อให้สีดูดซึมอย่าง
ทั่วถึง ปล่อยทิ้งสักพักแล้วยกขึ้นจากอ่างน้ าย้อม ซักให้สะอาดกระตุกตากให้แห้ง
12 การย้อมสีแดงจากดอกค าฝอย
น าดอกค าฝอยมาต าให้ละเอียด ห่อด้วยผ้าขาวบางผสมน้ าด่างเพื่อให้เกิดสี (น้ าด่างได้จากการน าต้น
ผักขมหนามที่แก่จนเป็นสีแดงหรือน้ าตาลมาตากให้แห้งสนิทแล้วน าไปเผาไฟให้เป็นขี้เถ้า ผสมกับน้ าทิ้งให้
ตกตะกอน รินเอาแต่น้ าใส ๆ มาผสมกับสี) ส่วนวิธีย้อมท าโดยน าดอกค าฝอยมาต้มให้น้ าออกมาก ๆ จน
เหนียว เก็บน้ าสีไว้ จากนั้นเอาแก่นไม้ฝางมาไสด้วยกบบาง ๆ แล้วต้มให้เดือดนานประมาณ 6 ชั่วโมง
ช้อนกากทิ้ง เวลาจะย้อมฝ้าย น าเอาน้ าย้อมที่ต้มแล้วทั้งสองอย่างมาเทรวมเข้าด้วยกัน แล้วเติมสารส้มลงไป
เล็กน้อย คนให้เข้ากันดีน าฝ้ายที่ชุบน้ าและตีเส้นให้กระจายลงย้อมในอ่างย้อม
13 การย้อมสีเขียวจากใบหูกวาง
เอาใบหูกวางมาต าคั้นเอาแต่น้ าสีกรองให้สะอาดต้มให้เดือดเอาฝ้ายที่เตรียมไว้ ลงย้อมจะได้เป็นสี
เขียวอ่อน หมั่นยกด้ายฝ้ายกลับไปกลับมา เพื่อไม่ให้ด้ายฝ้ายด่าง และสีย้อมจะได้ติดทั่วถึง พอได้ความเข้ม
ของสีติดด้ายฝ้ายตามต้องการจึงยกขึ้นบิดพอหมาด ซักน้ าสะอาดผึ่งให้แห้ง
14 การย้อมสีจากคราม
ตัดต้นครามมาม้วนและมัดเป็นฟ่อน ๆ น าไปแช่น้ าไว้ในภาชนะที่เตรียมไว้ประมาณ 2-3 วัน จนใบ
ครามเปื่อย จึงแก้มัดครามออกเพื่อให้ใบครามหลุดออกจากล าต้น น าล าต้นทิ้งไป เอาปูนขาวในอัตราส่วนที่
เหมาะสมกันกับน้ าที่แช่ครามผสมลงไปแทนต้นคราม จากนั้นน าเอาขี้เถ้าซึ่งได้จากเหง้ากล้วยเผาจนด า ผสม
ลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 คืน จนกว่าน้ าที่กวนใส รินน้ าที่ใสออกทิ้ง จะได้น้ าสีครามตามต้องการ อาจใช้ผ้า
ขาวบางกรองเพื่อจะได้น้ าสีครามที่ละเอียด น าด้ายไปขย าในหม้อคราม พยายามอย่าให้ด้ายฝ้ายพันกัน ให้น้ า
สีกินเข้าไปในเนื้อด้ายฝ้ายอย่างทั่วถึง จนกระทั่งได้สีเข้มตามต้องการ จึงยกด้ายฝ้ายขึ้นจากหม้อ บิดให้
หมาดล้างน้ าสะอาด น าไปขึ้นราวตากให้แห้ง
Slide 14
15 การย้อมสีชมพูจากต้นมหากาฬและต้นฝาง
เอาเปลือกของต้นมหากาฬมาสับให้ละเอียดต้มในน้ าเดือดประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วช้อนเอาเปลือก
ออก เติมไม้ฝางซึ่งผ่าเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงไปต้มในน้ าเดือดนาน 1 ชั่วโมง เติมใบส้มป่อยลงไปอีก 1 ก า ต้มต่อไป
อีกเล็กน้อย ช้อนเอากากออกแล้วเติมน้ าด่างลงไป จะได้น้ าย้อมสีชมพูจึงเอาด้ายฝ้ายที่ชุบน้ าบิดพอหมาด จุ่ม
ลงไปในอ่างย้อม ตั้งไฟต้มนาน 30 นาที ยกขึ้นจากอ่างย้อมน าไปซักน้ าบิดให้แห้งกระตุกให้เส้นด้ายกระจาย
ตากแดด
16 การย้อมสีเหลืองจากแก่นขนุน
น าแก่นขนุนที่แห้งแล้วมาหั่นหรือไสด้วยกบเบา ๆ ใช้มือขย าให้ป่นละเอียด ห่อด้วยผ้าขาวบาง แล้ว
ต้มประมาณ 4 ชั่วโมง ดูว่าสีนั้นออกตามความต้องการหรือยังเมื่อใช้ได้ช้อนเอากากทิ้งกรองเอาน้ าใสเติมน้ า
สารส้มเล็กน้อย เพื่อให้สีติดดี เอาด้ายฝ้ายซึ่งชุบน้ าพอหมาด จุ่มลงในอ่างย้อม กลับด้ายฝ้ายไปมานาน 1
ชั่วโมง เอาขึ้นจากอ่างย้อม ซักน้ าสะอาดกระตุกตาก
17 การย้อมสีเหลืองจากแก่นแกแล
ใช้ส่วนของแก่นแกเลย้อมผ้าจะได้สีเหลือง ซึ่งจะมีสารสีเหลืองชื่อ Morin อยู่ประมาณ 1% ให้
น าเอาแก่นแกแลมาตากให้แห้งแล้วผ่าให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่หม้อต้มเดือด จนน้ าต้มสีเป็นสีเหลืองจึงยกลง และ
น าเอาไปกรองเก็บน้ าสีไว้ เอาแกแลที่กรองไว้ไปต้มน้ าให้เดือดต่อไปจนได้น้ าสีจากแกแล ซึ่งสีอ่อนกว่าหม้อ
แรก เก็บน้ าสีไว้ท าแบบเดียวกัน จนได้น้ าสีครบ 3 หม้อ จะได้น้ าสีอ่อนสุดถึงแก่สุด น าเอาด้ายฝ้ายที่เตรียมไว้
ลงย้อมในน้ าสีหม้อที่ 3 ซึ่งเป็นสีอ่อนสุดยกด้ายฝ้ายกลับไปกลับมาเพื่อให้น้ าสีเข้าไปในเนื้อฝ้ายได้ทั่วถึงไม่ด่าง
ทิ้งไว้สักพักจึงยกด้ายฝ้ายขึ้นบิดพอหมาด น าไปย้อมในหม้อที่ 2 และหม้อที่ 1 ท าแบบเดียวกัน จนย้อมได้ครบ
3 หม้อ น าด้ายฝ้ายขึ้นซักน้ าสะอาดจนสีไม่ตก เอาเข้ารางผึ่งให้แห้ง
Slide 15
10 ประวัติของดอกไม้และผลไม้ที่น ามาย้อมผ้าและสรรพคุณ
1 ดอกอัญชันแห้ง
อัญชัน ชื่อสามัญ Butterfly pea, Blue pea
อัญชัน ชื่อวิทยาศาสตร์Clitoria ternatea L. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือLEGUMINOSAE)
และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE) สมุนไพรอัญชัน มีชื่อท้องถิ่น
อื่น ๆ ว่า แดงชัน (เชียงใหม่), เอื้องชัน (ภาคเหนือ) เป็นต้น อัญชัน เป็นพืชที่มีต้นก าเนิดในแถบอเมริกาใต้ปลูก
ทั่วไปในเขตร้อน ลักษณะของดอกอัญชันจะมีสีขาว สีฟ้า สี ม่วง ส่วนตรงกลางดอกจะมีสีเหลือง และรูปทรง
คล้ายหอยเชลล์มีสรรพคุณที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะมี สารที่ชื่อว่า "แอนโทไซยานิน" (Anthocyanin)
ซึ่งมีหน้าที่ไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ท าให้เลือดไป เลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้น เช่น ไปเลี้ยงบริเวณ
รากผม ซึ่งช่วยท าให้ผมดกด า เงางาม หรือไปเลี้ยงบริเวณ ดวงตาจึงช่วยบ ารุงสายตาไปด้วยในตัว หรือไปเลี้ยง
บริเวณปลายนิ้วมือ ซึ่งก็จะช่วยแก้อาการเหน็บชาได้ด้วย และที่ส าคัญสารนี้ยังมีความโดดเด่นที่ใครหลาย ๆ คน
ยังไม่ทราบ นั่นก็คือช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดเส้น เลือดอุดตันได้ และการ "กินดอกอัญชันทุกวัน...วันละ
หนึ่งดอก" จะช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบได้อีกด้วย
เนื่องจากดอกอัญชันนั้นมีฤทธิ์ในการละลายลิ่มเลือด ส าหรับผู้มีเลือดจางห้ามรับประทานดอกอัญชันเด็ดขาด
หรืออาหารเครื่องดื่มที่ย้อมสีด้วยอัญชันก็ไม่ควรรับประทานบ่อย ๆ
สรรพคุณของอัญชัน
1. น้ าอัญชันมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย
2. เครื่องดื่มน้ าอัญชันช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายและเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย
3. มีส่วนช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอยแห่งวัย
4. ดอกมีส่วนช่วยในการบ ารุงสมอง เพิ่มการไหลเวียนเลือด
5. ดอกอัญชันมีฤทธิ์ในการละลายลิ่มเลือด
6. ช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบ
Slide 16
7. ช่วยรักษาอาการผมร่วง (ดอก)
8. อัญชันทาคิ้ว ทาหัว ใช้เป็นยาปลูกผม ปลูกขนช่วยให้ดกด าเงางามยิ่งขึ้น (น้ าคั้นจากดอก)
9. ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดเส้นเลือดอุดตัน
10. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
11. ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
12. ช่วยลดระดับน้ าตาลในเลือดของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน
13. อัญชันมีคุณสมบัติในการช่วยล้างสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย
14. ช่วยบ ารุงสายตา แก้อาการตาฟาง ตาแฉะ (น้ าคั้นจากดอกสดและใบสด)
15. ช่วยป้องกันโรคต้อกระจก ต้อหิน ตาเสื่อมจากโรคเบาหวาน (ดอก)
16. ช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็นให้ดียิ่งขึ้น
17. น ารากไปถูกับน้ าฝน น ามาใช้หยอดตาและหู (ราก)
18. น ามาถูฟันแก้อาการปวดฟันและท าให้ฟันแข็งแรง (ราก)
19. ใช้เป็นยาระบาย แต่อาจท าให้คลื่นไส้อาเจียนได้ (เมล็ด)
20. ใช้รากปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ (ราก,ใบ)
21. แก้อาการปัสสาวะพิการ
22. ใช้แก้อาการฟกช้ า (ดอก)
23. ช่วยป้องกันและแก้อาการเหน็บชาตามนิ้วมือนิ้วเท้า
24. น ามาท าเป็นเครื่องดื่มน้ าอัญชันเพื่อใช้ดับกระหาย
25. ดอกอัญชันตากแห้งสามารถน ามาชงดื่มแทนน้ าชาได้เหมือนกัน
26. ดอกอัญชันน ามารับประทานเป็นผัก เช่น น า มาจิ้มน้ าพริกสด ๆ หรือน ามาชุบแป้งทอดก็ได้
27. น้ าดอกอัญชันน ามาใช้ท าเป็นสีผสมอาหารโดยให้สีม่วง เช่น ขนมดอกอัญชัน ข้าวดอกอัญชัน
(ดอก)
28. ช่วยปลูกผมท าให้ผมดกด าขึ้น (ดอก)
29. ใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่าง ครีมนวดผม ยาสระผม เป็นต้น
30. นิยมน ามาปลูกไว้ตามรั้วบ้านเพื่อความสวยงาม
2 ดอกดาวเรือง
Slide 17
ดาวเรืองชื่อสามัญAfrican marigold, American marigold, Aztec marigold, Big marigold
ดาวเรืองชื่อวิทยาศาสตร์ Tagetes erecta L. จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ
COMPOSITAE)
สมุนไพรดาวเรือง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ดาวเรืองใหญ่ (ทั่วไป), ค าปู้จู้หลวง (ภาคเหนือ), พอทู
(กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), บ่วงซิ่วเก็ก (จีนแต้จิ๋ว), ว่านโซ่วจวี๋ (จีนกลาง), บ่วงลิ่วเก็ก เฉาหู่ย้ง, กิมเก็ก (จีน), ด าว
เรืองอเมริกัน เป็นต้น
ลักษณะของดาวเรือง
1 ต้นดาวเรืองเป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองของประเทศเม็กซิโก โดยจัดเป็นไม้ล้มลุก มีอายุได้ราว 1 ปี ล า ต้น
ตั้งตรงมีความสูงประมาณ 60-100 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านมากที่โคนต้น ล าต้นเป็นสีเขียวและเป็นร่อง ทั้ง ต้น
เมื่อน ามาขยี้จะมีกลิ่นเหม็น จึงท าให้แมลงไม่ค่อยมารบกวน โดยจัดเป็นพันธุ์ไม้กลางแจ้ง ขยายพันธุ์ด้วย เมล็ด
เป็นหลัก (แต่อาจจะใช้การปักช าได้ แต่ต้นที่ได้จะมีขนาดเล็กกว่า) เจริญเติบโตได้เร็ว ชอบดินร่วน ระบาย น้ าได้
ดี มีความชื้นปานกลาง และชอบแสงแดดแบบเต็มวัน โดยแหล่งเพาะปลูกดาวเรืองที่ส าคัญของประเทศ ไทย
ได้แก่ จังหวัดล าปาง พะเยา ราชบุรี นนทบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร อุดรธานี และกรุงเทพฯ เป็นต้น[10] โดย
ดาวเรืองที่พบเห็นและปลูกกันมากในปัจจุบันจะมีอยู่ 5 ชนิด ได้แก่ ดาวเรืองอเมริกัน (Tagetes erecta),
ดาวเรืองฝรั่งเศส (Tagetes patula), ดาวเรืองนักเก็ต (Triploid Marigold), ดาวเรืองซิกเน็ต (Tagetes
tenuifolia หรือ Tagetes signata pumila) และดาวเรืองใบ (Tagetes filifolia)
2 ใบดาวเรือง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ปลายใบคี่ ออกเรียงตรงข้ามกัน มีใบย่อยประมาณ 11-
17 ใบ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ส่วนขอบใบจักเป็นซี่ฟัน ใบมีขนาดกว้าง
ประมาณ 0.5-1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร เนื้อใบนิ่ม
3 ดอกดาวเรือง ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวตามปลายยอด ดอกเป็นสีเหลืองสดหรือสีเหลืองปนส้ม กลีบ
ดอกมีขนาดใหญ่เรียงซ้อนกันหลายชั้นเป็นวงกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางดอกประมาณ 5-10 เซนติเมตร
และยาวประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ปลายกลีบดอกเป็นฟันเลื่อย มีเกสรเพศผู้ 5 ก้านโดยดอกจะแบ่งออกเป็น
Slide 18
2 ลักษณะ คือ ดอกวงนอกมีลักษณะคล้ายลิ้นหรือเป็นรูปรางน้าซ้อนกันแน่น บานแผ่ออกปลายม้วนลง มี
จ านวนมาก เป็นดอกที่ไม่สมบูรณ์เพศ โคนกลีบดอกเป็นหลอดเล็ก ส่วนดอกวงในเป็นหลอดเล็กอยู่ตรงกลางช่อ
ดอก มีจ านวนมากและเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ ส่วนกลีบเลี้ยงดอกเป็นสีเขียวเชื่อมติดกันหุ้มโคนช่อดอก ก้าน
ชูดอกยาว
4 ผลดาวเรือง ผลเป็นผลแห้งสีด าไม่แตก ดอกจะแห้งติดกับผล[1] โคนกว้างเรียวสอบไปยังปลาย ซึ่งปลายผล
นั้นจะมี
สรรพคุณของดาวเรือง
1. ดอกและรากมีรสขมเผ็ดเล็กน้อย มีฤทธิ์เป็นยาเย็น ออกฤทธิ์ต่อปอดและตับ (ดอก, ราก)
2. ดอกใช้เป็นยาฟอกเลือด (ดอก) ในอินเดียจะใช้น้ าคั้นจากช่อดอกเป็นยาฟอกเลือด (ดอก)
3. ใช้ใบแห้งประมาณ 5-10 กรัม น ามาต้มกับน้ าดื่มเป็นยาแก้เด็กเป็นตานขโมย (ใบ)
4. ช่วยแก้อาการเวียนศีรษะ ด้วยการใช้ดอกประมาณ 3-10 กรัม ต้มกับน้ าดื่ม (ดอก)
5. ดอกช่วยบ ารุงสายและถนอมสายตาได้ดี ในต ารายาจีนจะน าดอกมาปรุงกับตับไก่ใช้กินเป็นยาบ ารุง
สายตาได้ดี (ดอก) 8
6. ช่วยแก้ตาเจ็บ ตาบวม ตาแดง ปวดตา ด้วยการใช้ดอกแห้งประมาณ 10-15 กรัม น ามาต้มกับน้ า
รับประทาน (ดอก)
7. ดอกใช้รักษาคางทูม ด้วยการใช้ดอกประมาณ 3-10 กรัม น ามาต้มกับน้ าดื่ม (ดอก)
8. ดอกใช้เป็นยาแก้ไข้สูงในเด็กที่มีอาการชัก (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
9. ช่วยแก้อาการร้อนใน (ดอก)
10. ช่วยแก้อาการไอหวัด ไอกรน ไอเรื้อรัง ด้วยการใช้ดอกสดประมาณ 10-15 ดอก น ามาต้มกับน้ า
ผสม กับน้ าตาลรับประทาน (ดอก)
11. ช่วยขับและละลายเสมหะ ด้วยการใช้ดอกประมาณ 3-10 กรัมน ามาต้มกับน้ าดื่ม (ดอก)
12. น้ าคั้นจากใบใช้แก้อาการหูเจ็บ ปวดหู (ใบ)
13. ช่วยแก้อาการปวดฟัน ด้วยการใช้ดอกแห้ง 15 กรัมน ามาต้มกับน้ ารับประทาน (ดอก)
14. ช่วยรักษาปากเปื่อย (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
15. ช่วยแก้คอและปากอักเสบ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
16. ดอกใช้เป็นยาแก้หลอดลมอักเสบหรือระบบทางเดินหายใจติดเชื้อ โดยใช้ดอกสดประมาณ 10-15
ดอก น ามาต้มกับน้ าผสมกับน้ าตาลรับประทาน ส่วนอีกวิธีให้ใช้ดอกสด 30 ดอก ผสมกับจี๋อ้วง (Astertataricus
L.F.) สด 7 กรัม, จุยเฉี่ยวเอื้อง (Inula Helianthus-aquatilis C.Y. Wuex Ling) สด 10 กรัม น ามาต้มกับน้ า
ดื่ม (ดอก)
17. ช่วยรักษาเต้านมอักเสบ เต้านมเป็นฝี โดยใช้ดอกแห้ง ดอกสายน้ าผึ้ง (Lonicera japonica
Thunb), เต่งเล้า (paris petiolata Bak. ex. Forb.) อย่างละเท่ากัน น ามาบดรวมกันเป็นผงผสมกับ
น้ าส้มสายชู คนให้เข้ากัน แล้วน ามาใช้พอกบริเวณที่เป็น (ดอก)
Slide 19
18. ดอกและทั้งต้นเป็นยาขับลม ท าให้น้ าดีในล าไส้ท างานได้ดี (ดอก, ทั้งต้น) ส่วนต ารับยาเภสัชของ
เม็กซิโกจะใช้ช่อดอกและใบน ามาต้มกับน้ าดื่มเป็นยาขับลม (ดอก, ใบ)
19. ช่วยแก้อาการจุกเสียด (ต้น)
20. รากใช้เป็นยาระบาย (ราก)
21. ช่วยแก้อาการปวดท้อง (ทั้งต้น)
22. ต้นน ามาใช้ท าเป็นยารักษาโรคไส้ตันอักเสบหรือมีอาการปวดท้องขนาดหนักคล้ายกับไส้ติ่ง (ต้น)
23. ใบและช่อดอกน ามาชงกับน้ า ใช้เป็นยาขับพยาธิ (ดอก, ใบ)
24. ต ารับยาเภสัชของเม็กซิโกเคยมีการใช้ดอกและใบดาวเรืองน ามาต้มกับน้ าดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ
(ดอก, ใบ)
25. ดอกเป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร (ดอก) โดยในอินเดียจะใช้น้ าคั้นจากช่อดอกดาวเรืองเป็นยาแก้
ริดสีดวง ทวาร (ดอก)
26. ดอกใช้เป็นยากล่อมตับ ดับพิษร้อนในตับ ด้วยการใช้ดอก 3-10 กรัมน ามาต้มกับน้ าดื่ม (ดอก)
27. รากใช้เป็นยาแก้พิษ แก้อาการบวมอักเสบ (ราก)
28. ดอกมีสรรพคุณเรียกเนื้อ ท าให้แผลหายเร็ว ด้วยการใช้ดอกน ามาต้มเอาน้ าใช้ชะล้างบริเวณที่เป็น
แผล (ดอก) 9
29. ใบมีรสชุ่มเย็นและมีกลิ่นฉุน น้ าคั้นจากใบสามารถน ามาใช้เป็นยาทารักษาแผลเน่าเปื่อย หรือน ามา
ตาม ใช้เป็นยาพอกก็ได้ (ใบ) บ้างก็ใช้น้ าคั้นจากใบน ามาผสมกับน้ ามันมะพร้าว เคี่ยวจนส่วนน้ าระเหยหมด ใช้
เป็นยาทารักษาแผลเน่าเปื่อยและฝีต่าง ๆ (ใบ)
30. น้ าคั้นจากใบใช้เป็นยาทาแก้ฝีต่าง ๆ ฝีฝักบัว ฝีพุพอง หรือน าใบมาต าพอก หรือต้มเอาน้ าชะล้าง
บริเวณที่เป็น อีกทั้งยังช่วยรักษาแผลฝี ตุ่มมีหนอง อาการบวมอักเสบโดยไม่รู้สาเหตุได้อีกด้วย (ใบ)
31. ต้นใช้เป็นยารักษาแก้ฝีลม (ต้น)
32. ในบราซิลจะใช้ช่อดอกน ามาชงกับน้ าดื่มเป็นยาแก้อาการปวดตามข้อ (ดอก)
33. ส่วนต ารายาจีนจะ ใช้ดอกแห้ง ดอกสายน้ าผึ้ง เต่งเล้า อย่างละเท่ากัน น ามาบดรวมกันเป็นผง ผสม
กับน้ าส้มสายชูคนให้ เข้ากัน แล้วน ามาใช้พอกบริเวณที่เป็น (ดอก)
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของดาวเรือง
1 ดอกหรือช่อดอกดาวเรืองมีสาร Flavonoid glycosides, Tagetiin 0.1%
และมีสารเรืองแสง Terthienyl 15-21 มิลลิกรัมต่อ กิโลกรัม ของดอกสด Helenien 74%, B-Carotene
Flavoxanthin โดยสาร Helenien มีผู้กล่าวว่าสามารถช่วยท าให้เนื้อเยื่อตาดีขึ้นได้
2 ทั้งต้นพบน้ ามัน ระเหย เช่น Carotent, d-limonene, Flavoxanthin, Helenienm Nonanal,
Ocimene, Tagetiin, Tagetone d-Terehienyl เป็นต้น
3 พบว่าในดอกมีสารฆ่าแมลงที่ชื่อว่า Pyrethrin และน้ ามันหอมระเหย ซึ่งแสดงฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ
แบคทีเรียและเชื้อในราในหลอดทดลองด้วย[2]
Slide 20
4 รากของต้นดาวเรืองมีสารชนิดหนึ่งชื่อว่า แอลฟ่า เทอร์เธียนิล (α-terthienyl) ซึ่งเป็นสารที่สามารถ
ควบคุมปริมาณไส้เดือนฝอยในดินได้เป็นอย่างดี
5 ในใบดาวเรืองมีสารคาเอมพ์เฟอริตริน (Kaempferitrin) ซึ่งมีฤทธิ์แก้อาการอักเสบ ให้หนูตะเภากิน
ใน ขนาด 50 มิลลิกรัมต่อ กิโลกรัมของน้ าหนักตัว พบว่าจะท าให้หลอดเลือดฝอยตีบตัน ท าให้เลือดหยุด เนื้อ
หนังเจริญดีขึ้น และยังมีฤทธิ์ที่แรงกว่ารูติน (Rutin) อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีวิตามินพี (Vitamin P) ค่อนข้างสูง
โดยสารนี้จะช่วยลดการเคลื่อนไหวของล าไส้เล็กที่แยกจากตัวของกระต่ายได้ท าให้จังหวะ การบีบตัวลดลง
6 เคยมีการใช้ดอกเป็นยาฆ่าเชื้อโรคและยาสงบประสาท โดยมีผลเช่นเดียวกับต้น Tagetes minuta L.
หรือ Tagetes glandif lora ที่มีน้ ามันหอมระเหย มีฤทธิ์ในการสงบประสาท ช่วยลดความดันโลหิต ขยายหลอด
เลือดและหลอดลม และช่วยแก้อาการอักเสบ
7 ดาวเรืองมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย แผลเปื่อยเรื้อรังที่เป็นอาการที่เกิดจากการติดเชื้อที่ผิวหนัง ซึ่งใน
ผู้ป่วยเอดส์จะพบเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุและพบได้บ่อยคือ เชื้อ Staphylococcus aureus และ ได้มีการ
ทดสอบสารสกัดจากส่วนต่าง ๆ ของต้นดาวเรือง เพื่อใช้ต้านแบคทีเรียชนิดนี้อยู่หลายการ ทดลอง เช่น มีการ
ทดสอบสารสกัดเอทานอลจากส่วนเหนือดิน ที่ความเข้มข้น 5 มก./มล. กับ Staphylococcus aureus ในจาน
เพาะเชื้อ พบว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว แต่เมื่อได้ท าการ ทดสอบสารสกัดเอทานอล (95%) จากดอก
ใบ และล าต้นดาวเรือง พบว่าสารสกัดดังกล่าวไม่มีฤทธิ์ ต้านเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว และได้ทดลองใช้สารสกัด
ดังกล่าวจากดอกแห้งดาวเรือง ความเข้มข้น 100 มก./แผ่น ก็ให้ผลการทดสอบเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการ
ทดสอบสารสกัดเอทานอลจากดอก ดาวเรืองกับเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกอีกหลายชนิด พบว่า สารสกัดดังกล่าว
ไม่มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อ Staphylococcus aureus, จากการทดสอบน้ ามันหอมระเหย (ไม่เจือจางและไม่ระบุ
ส่วนที่ใช้) ใน จานเพาะเชื้อ ก็พบว่าน้ ามันหอมระเหยไม่มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อ Staphylococcus aureus และ
ถ้าใช้ 10 น้ ามันหอมจากใบดาวเรือง (ไม่ทราบความเข้มข้น) ก็พบว่าให้ผลเช่นเดียวกัน, เมื่อทดสอบน้ าสกัดจาก
ดอก ใบ และล าต้นของดาวเรืองกับเชื้อ Staphylococcus aureus ก็พบว่าไม่มีฤทธิ์และยังทดสอบ ด้วยสาร
สกัดเมทานอลจากดอกแห้งที่ความเข้มข้น 20 มก./แผ่น หรือสารสกัดเมทานอลจากดอกสด ความเข้มข้น 1.5
มก./มล. หรือสารสกัดเมทานอลจากใบสดความเข้มข้น 15 มก./มล. ก็พบว่าให้ผล เช่นเดียวกัน แต่เมื่อใช้สาร
สกัดเมทานอลจากรากสดดาวเรือง ความเข้มข้น 0.8 มก./มล. กลับให้ผล การทดสอบที่ไม่แน่นอน นอกจากนี้
ยังได้มีการทดสอบสารสกัดเมทานอลจากพืชอีก 24 ชนิดในการ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และได้พบว่า สารสกัดจาก
ดอกดาวเรืองมีฤทธิ์ต้าน Staphylococcus aureus จริง และจากการทดสอบน้ าสกัดและสารสกัดจากเอทา
นอล (95%) พบว่า น้ าสกัดจากใบและสาร สกัดเอทานอล (95%) จากดอกดาวเรือง ความเข้มข้น 1:1 มีฤทธิ์ใน
การต้านเชื้อ Staphylococcus aureus แต่ผลการทดสอบสารสกัดทิงเจอร์จากดอกแห้งดาวเรือง ความเข้มข้น
30 มคก./แผ่น พบว่า ไม่มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Staphylococcus aureus
8 จากการทดสอบความเป็นพิษของดาวเรือง เมื่อฉีดสารสกัดเมทานอลจากดอกหรือรากสดดาวเรือง
เข้าทางช่องท้องหนูถีบจักร พบว่า LD50 มากกว่า 2 ก./กก. และเมื่อใช้สารสกัดเอทานอล (50%) จากทั้งต้น
ของดาวเรืองแทน พบว่า LD50 มากกว่า 1 ก./กก.
Slide 21
9 จากการทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ของดาวเรือง ได้มีการทดลองใช้ผงจากใบและดอกดาวเรือง
โดย ใช้ภายนอกในการรักษาหูดที่ฝ่าเท้าของผู้ใหญ่จ านวน 31 ราย โดยท าการทดลองแบบสุ่มเปรียบเทียบ กับ
ยาหลอก จากผลการศึกษาพบว่าส่วนของพืชดังกล่าวมีพิษต่อเซลล์และเมื่อได้ท าการทดสอบ น้ ามันหอมระเหย
จากใบสดดาวเรืองกับเอมบริโอของไก่ (ไม่ทราบปริมาณความเข้มข้น) พบว่ามีพิษต่อ เซลล์ของสัตว์ทดลอง และ
จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พบว่ามีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น และไม่ พบฤทธิ์ต้านการแพ้หรือลดการ
อักเสบ ทั้งนี้ก่อนมีการส่งเสริมให้ใช้ควรมีการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อที่จะ ได้เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาแผลได้
ประโยชน์ของดาวเรือง
1. ดอกสามารถน ามาใช้ประกอบอาหารรับประทานได้ เช่น การน าดอกตูมมาลวกจิ้มกับ น้ าพริก ใช้
แกล้มกับลาบ หรือจะใช้ดอกบานน าไปปรุงแบบยาใส่เนื้อ ท าน้ าย าแบบรส หวานคล้ายกับน้ าจิ้มไก่หรือน้ าจิ้ม
ทอดมัน เป็นต้น ส่วนทางภาคใต้นั้นจะนิยมน ามาใช้เป็น ผักผสมในข้าวย า
2. ดอกดาวเรืองมีสารเบตาแคโรทีนจากธรรมชาติซึ่งคุณสมบัติของเบตาแคโรทีนนี้จะท า หน้าที่โปรวิ
ตามินเอ เมื่อได้รับเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ นอกจากนี้ยังเป็น สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วย
ป้องกันการเกิดมะเร็งในตับและปอดของร่างกายอีกด้วย
3. ใช้น้ าสกัดจากดอกดาวเรือง สามารถน ามาใช้เพื่อป้องกันและก าจัดไส้เดือนฝอยในดินได้ โดยขนาดที่
ใช้คือกลีบดอกสด 3 กรัมปั่นในน้ า 1 ลิตร ใช้เป็นยาฉีดพ่น
4. ดอกสามารถน ามาใช้ในงานพิธีต่าง ๆ ใช้ร้อยเป็นพวงมาลัยเพื่อบูชาพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามความ
เชื่อ หรือน ามาใช้เป็นดอกไม้ปักแจกันก็ได้เช่นกัน
5. ดอกใช้สกัดท าเป็นสีย้อมผ้า โดยจะให้สีเหลืองทอง ซึ่งดอกดาวเรืองแห้ง 1.2 กิโลกรัม สามารถน ามา
ย้อมเส้นไหมได้ 1 กิโลกรัม โดยใช้วิธีการต้มเพื่อสกัดน้ าสีนาน 1 ชั่วโมง แล้ว กรองเอาเฉพาะน้ า ใช้ย้อมด้วย
กรรมวิธีการย้อมร้อน แล้วน าเส้นไหมมาแช่ในสารละลาย 11 1% สารส้ม ก็จะได้เส้นไหมสีเหลืองทอง และดอก
ดาวเรืองที่ได้จากการนึ่งและอบจะให้น้ า สีที่เข้มข้นกว่าดอกสด 1 เท่า และมากกว่าดอกตากแห้ง 5 เท่า เมื่อใช้
ในอัตราส่วนเท่ากัน
6. ต้นและรากของดาวเรืองมีสารที่ช่วยป้องกันและก าจัดไส้เดือนฝอยในดินได้โดยใช้วิธีการ ไถกลบทั้ง
ต้นและรากลงในแปลงปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่มีปัญหาไส้เดือนฝอยในดิน เช่น แปลงยาสูบ มะเขือเทศ เยอบี
ร่า และสตรอว์เบอร์รี เป็นต้น
7. ต้นดาวเรืองสามารถสะสมสารหนูได้มากถึง 42% จึงมีประโยชน์ในด้านการน ามาฟื้นฟูดิน ที่มีการ
ปนเปื้อนสารหนูได้ดี
8. ปัจจุบันได้มีการปลูกดาวเรืองเพื่อน ามาผลิตเป็นดอกดาวเรืองแห้ง เพื่อใช้เป็นส่วนผสมใน อาหาร
หรือเป็นส่วนผสมในอาหารเสริมของไก่ไข่กันอย่างกว้างขวาง เพราะมีผลงานวิจัยที่ ระบุว่าอาหารไก่ที่ผสมดอก
ดาวเรืองแห้งจะช่วยเพิ่มความเข้มสีของไข่แดงได้
9. เนื่องจากดอกดาวเรืองมีความสวยงาม จึงนิยมปลูกเพื่อประดับเป็นจุดเด่นตามสวนหรือใช้ ปลูกเป็น
กลุ่ม ๆ ตามริมถนนหรือทางเดิน
Slide 22
10. นอกจากจะใช้ปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับแล้ว ยังสามารถน ามาใช้ปลูกเป็นเกราะป้องกันแมลง ศัตรูพืช
ให้แก่พืชอื่น ๆ ได้อีกด้วย เนื่องจากดาวเรืองมีสารที่มีกลิ่นเหม็นฉุนที่แมลงไม่ชอบ
3 มังคุด
มังคุด ชื่อวิทยาศาสตร์: Garcinia mangostana Linn. เป็นพันธุ์ไม้ไม่ผลัดใบเขตร้อนชนิดหนึ่ง เชื่อกัน
ว่ามีถิ่นก าเนิดอยู่ที่หมู่เกาะซุนดาและหมู่เกาะโมลุกกะ แพร่กระจายพันธุ์ไปสู่หมู่เกาะอินดีสตะวันตกเมื่อ ราว
พุทธศตวรรษที่ 24 แล้วจึงไปสู่กัวเตมาลา ฮอนดูรัส ปานามา เอกวาดอร์ไปจนถึงฮาวาย ในประเทศไทยมี การ
ปลูกมังคุดมานานแล้วเช่นกัน เพราะมีกล่าวถึงในพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ในสมัยรัชกาลที่ 1 นอกจากนั้น
ในบริเวณโรงพยาบาลศิริราชยังเคยเป็นที่ตั้งของวังที่มีชื่อว่า "วังสวนมังคุด" ในจดหมายเหตุของ ราชทูตจากศรี
ลังกาที่เข้ามาขอพระสงฆ์ไทย ได้กล่าวว่ามังคุดเป็นหนึ่งในผลไม้ที่น าออกมารับรองคณะทูต
มังคุดเป็นไม้ยืนต้น สูง 10-12 เมตร ทุกส่วนมียางสีเหลือง ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่หรือรูป วงรีแกม
ขอบขนาน กว้าง 6-11 ซม. ยาว 15-25 ซม. เนื้อใบหนาและค่อนข้างเหนียวคล้ายหนัง หลังใบสีเขียว เข้มเป็น
มัน ท้องใบสีอ่อนกว่า ดอกเดี่ยวหรือเป็นคู่ ออกที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง สมบูรณ์เพศหรือแยกเพศ กลีบ เลี้ยงสี
เขียวอมเหลืองติดอยู่จนเป็นผล กลีบดอกสีแดง ฉ่ าน้ า ผลเป็นผลสด ค่อนข้างกลม เปลือกนอกค่อนข้าง แข็ง แก่
เต็มที่มีสีม่วงแดง ยางสีเหลือง มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-6 เซนติเมตร เนื้อในมีสีขาวฉ่ าน้ า อาจมีเมล็ดอยู่ ในเนื้อ
ผลได้ขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของผล จ านวนกลีบของเนื้อจะเท่ากับจ านวนกลีบดอกที่อยู่ด้านล่างของ เปลือก
เส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 เซนติเมตร เมล็ดไม่สามารถใช้รับประทานได้
ส่วนของเนื้อผลที่กินได้ของมังคุดเป็นชั้นเอนโดคาร์ป ซึ่งพัฒนามาจากเปลือกหุ้มเมล็ดเรียกว่า aril มีสี
ขาว มี กลิ่นหอม สารระเหยได้ส่วนใหญ่คือ hexyl acetate, hexenolและ α-copaene ส่วนล่างสุดของผลที่
เป็น แถบสีเข้มที่ติดอยู่เรียงเป็นวงพัฒนามาจากปลายยอดเกสรตัวเมีย (stigma)มีจ านวนเท่ากับจ านวนเมล็ด
ภายใน ผล เมล็ดมังคุดเพาะยากและต้องได้รับความชื้นจนกว่าจะงอก เมล็ดมังคุดเกิดจากชั้นนิวเซลลาร์ ไม่
ได้มาจาก การปฏิสนธิเมล็ดจะงอกได้ทันทีเมื่อออกจากผลแต่จะตายทันทีที่แห้ง มังคุดมีพันธุ์พื้นเมืองเพียงพันธุ์
เดียว แต่ ถ้าปลูกต่างบริเวณกันอาจมีความผันแปรไปได้บ้าง ในประเทศไทยจะพบความแตกต่างได้ระหว่าง
มังคุดในแถบ ภาคกลางหรือมังคุดเมืองนนท์ที่ผลเล็ก ขั้วยาว เปลือกบาง กับมังคุดปักษ์ใต้ที่ผลใหญ่กว่า ขั้วผล
Slide 23
สั้น เปลือก หนา ปัจจุบันมีการเพาะปลูกและขายบนเกาะบางเกาะในหมู่เกาะฮาวาย ต้นมังคุดต้องปลูกในสภาพ
อากาศ อบอุ่น หากอุณหภูมิลดลงต่ ากว่า 4 °C จะท าให้ต้นมังคุดตายได้
มังคุดเป็นผลไม้จากเอเชียที่ได้รับความนิยมมาก มังคุดได้รับขนานนามว่าเป็น "ราชินีของผลไม้" อาจ
เป็นเพราะด้วยลักษณะภายนอกของผลที่มีกลีบเลี้ยงติด อยู่ที่หัวขั้วของผลคล้ายมงกุฎของพระราชินีส่วน เนื้อ
ในก็มีสีขาวสะอาด มีรสชาติที่แสนหวาน อร่อยอย่างยากที่จะหาผลไม้อื่นมาเทียบได้มีการน ามังคุดมา ประกอบ
อาหารบ้างทั้งอาหารคาว เช่น แกง ยา และอาหารหวาน เช่น มังคุดลอยแก้ว แยมมังคุด มังคุดกวน มังคุดแช่อิ่ม
ในจังหวัดนครศรีธรรมราชมีการท ามังคุดคัด ด้วยการแกะเนื้อมังคุดห่ามออกมาเสียบไม้ รับประทานในขณะที่
ส่วนใหญ่จะนิยมรับประทางมังคุดสุกเป็นผลไม้ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยต่อต้านอนุมูล อิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิ
ต้านทานให้กับร่างกาย มีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอย และยังมีส่วน ช่วยบ ารุงผิวพรรณให้เปล่ง
ปลั่งสดใสอีกด้วย เนื้อมังคุดมีคุณค่าทางอาหารสูงโดยเฉพาะโพแทสเซียม โปรตีน สารเยื่อใย วิตามินซี
ฟอสฟอรัส แคลเซียมและแมกนีเซียม จากการตรวจวิเคราะห์พบว่าในน้ ามังคุด 100 มิลลิลิตร ประกอบด้วย
โพแทสเซียมปริมาณสูงถึง 87.14 มิลลิกรัม แคลเซียม 34.53 มิลลิกรัม และแมกนีเซียม 111.22 มิลลิกรัม
เปลือกของมังคุดมีสารให้รสฝาด คือแทนนิน แซนโทน (โดยเฉพาะแมงโกสติน) แทนนินมีฤทธิ์ฝาด
สมาน ท าให้ แผลหายเร็ว มังคุดช่วยลดอาการอักเสบและมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ท าให้เกิดหนองได้ดี ในทาง
ยาสมุนไพร ใช้เปลือกมังคุดตากแห้งต้มกับน้ าหรือย่างไฟ ฝนกับน้ าปูนใส แก้ท้องเสีย เปลือกแห้งฝนกับน้ าปูนใส
ใช้รักษา อาการน้ ากัดเท้า แผลเปื่อย เปลือกมังคุด มีสารป้องกันเชื้อราเหมาะแก่การหมักปุ๋ย ชาวโอรังอัสลีใน
รัฐเประ มาเลเซียใช้เปลือกผลแห้งรักษาแผลเปิด
ยางมังคุด มีประโยชน์อย่างมากต่ออุตสาหกรรมหลายประเภท เนื่องจากยางมังคุดใช้เป็นวัตถุดิบใน
การสกัด สารกลุ่มแซนโทน ซึ่งแต่ละชนิดที่มีฤทธิ์ทางยาที่แตกต่างกัน รวมทั้งมีประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม
พลาสติก นอกจากนั้นยางมังคุดยังเข้ามามีบทบาทในการใช้เป็นสารเจือปนในอาหาร เพราะมีฤทธิ์ในการยับยั้ง
เชื้อ Staphylococcus Aureus ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้
4 หอมหัวใหญ่
Slide 24
หอมใหญ่ เป็นพืชหัว (bulb) ปลูกได้ในช่วงฤดูหนาว สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิดที่มีการระบาย น้ า
และอากาศดีเจริญได้ดีที่ค่าความเป็นกรด-เบสช่วง 6.0–6.8 อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ในช่วง 15–24 องศา
เซลเซียส และมีความเค็มของดินปานกลาง เป็นพืชล้มลุก ตระกูลเดียวกับหอมแดง ต้นสูงประมาณ 30-40
เซนติเมตร ล าต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน มีลักษณะกลม มีเปลือกนอกบางๆหุ้มอยู่ เมื่อแห้งจะมีสีน้ าตาลอ่อน ภายใน
เป็นกาบสีขาวซ้อนกัน ลักษณะของดอกมีสีขาว เป็นช่อ มีดอกย่อยเป็นจ านวนมาก ก้านช่อดอกยาว แทงออก
จากล าต้นใต้ดิน ช่วงเวลาในการเพาะปลูกและเก็บผลผลิต : ให้ผลผลิต 2 ครั้งใน 1 ปี คือ ช่วงเดือน มกราคม
ถึง เมษายน และในช่วงเดือน พฤศจิกายน ถึง กุมภาพันธ์
สรรพคุณ
หอมใหญ่ช่วยลดการอุดตันไขมันในเส้นเลือด ลดคลอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี (HDL:
High-density lipoproteins) และช่วยท าหน้าที่ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน สารก ามะถันใน หอมใหญ่
ช่วยยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง เมื่อต าผสมกับเหล้าเล็กน้อยแล้วน ามาพอก จะลดการอักเสบ อาการบวม
ได้
5 กล้วย
กล้วย เป็นไม้ล้มลุกขนาดใหญ่ มีอายุหลายปี ล าต้นตั้งตรง เมื่อโตเต็มที่อาจจะมีความสูงสองถึงเก้า
เมตร ล าต้นที่มองเห็นเรียกว่า ล าต้นเทียม (pseudostem) ส่วนประกอบของล าต้น ได้แก่ หยวก
กล้วย หรือ กาบใบ ล าต้นที่แท้จริงของกล้วยจะเกิดเป็นเหง้าใต้ดิน (corm) ใบมีสีเขียวขนาดใหญ่เป็นใบเดี่ยว
ผิวใบด้านบนเรียบเป็นมัน ท้องใบสีนวล เส้นกลางใบใหญ่และแข็ง ก้านใบยาว ดอกของกล้วยออกเป็นช่อ
(inflorescence)อยู่ที่ปลายยอด ลักษณะห้อยหัวลง สีแดงคล้ า เรียกว่า ปลีกล้วย (banana flower)ผลของ
กล้วยรวมกันเรียกว่า เครือ (Bunch) ส่วนผลกล้วยที่ เรียกว่า หวี (hand) แต่ละผลเรียกว่า ผลกล้วย (finger)
กล้วยหนึ่งเครือหนึ่งอาจจะมีจ านวนหวีตั้งแต่ 5 หวี ไปจนถึง 15 หวีเลย แต่ละหวีมีจ านวนผลตั้งแต่ 5-20 ผล
ขนาดของผลเมื่อโตแล้วจะมีขนาดประมาณ 5-15 เซนติเมตร กว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ผลของกล้วยเมื่อสุกจะมี
Slide 25
เปลือกสีเหลือง แต่อาจมีสีเขียวหรือแดงก็ได้แล้วแต่พันธุ์ กล้วยส่วนใหญ่ที่เรารับประทานไม่มีเมล็ด เช่น กล้วย
หอม กล้วยไข่ กล้วยหมาก กล้วยเล็บมือนาง เป็นต้น แต่หากกล้วยได้รับการผสมจากละอองเกสรที่มากพอ
กล้วยก็จะมีเมล็ดได้เหมือนกัน เช่น กล้วยน้ าว้าเป็นต้น
สรรพคุณ
1.ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ช่วยป้องกันการเป็นโรคที่เกี่ยวกับสมองได้เป็น
อย่างดี
2.ลดความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง เพราะในกล้วยมีธาตุโพแทสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือ
ต่ า จึงช่วยในการรักษาระดับความดันโลหิต ช่วยลดอันตรายจากการเกิดโรคต่างๆ ที่เกิดจากความดันโลหิต เช่น
โรคเส้นเลือดฝอยแตก
3.ช่วยกระตุ้นความตื่นตัวให้กับสมอง ช่วยให้สมองท างานได้เต็มที่ หากกินกล้วยเป็นอาหารเช้าได้ทุก
วันก็จะดีมาก เพราะกล้วยจะไปเสริมสร้างก าลังของสมอง มาจากปริมาณโพแทสเซียมที่มีอยู่สูงในกล้วย
สามารถช่วยให้มีความตื่นตัวในการท างานได้มากขึ้น
4.ลดอาการของโรคโลหิตจาง เพราะในกล้วยมีธาตุเหล็กสูง จึงช่วยกระตุ้นร่างกายให้ผลิตเม็ดเลือด
แดงคุณภาพดี ซึ่งช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้ และยังช่วยในกรณีที่ไม่มีแรง ให้กลับมามีก าลังได้อีกด้วย
5.ช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูก ได้เป็นอย่างดีด้วยปริมาณเส้นใย และกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยจะช่วย
ให้ระบบการขับถ่ายของร่างกายเป็นปกติ มีไฟโตเคมิคัลที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ป้องกัน
มะเร็ง
6.มีเอ็นไซม์ที่ช่วยในการย่อยอาหาร ท าให้กระเพาะอาหาร และล าไส้ท างานหนักน้อยลง
7.ช่วยลดอาการซึมเศร้า เพราะการกินกล้วยจะส่งผลดีต่อสมองและระบบประสาท เนื่องจากในกล้วย
มีสาร Tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนให้เป็นสารเซโรโทนิน ที่จะช่วยให้รู้สึก
ผ่อนคลาย ปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น หายจากความกังวล ช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น ถือเป็นตัวช่วยอย่างดีส าหรับ
ผู้ที่มีปัญหาด้านการนอน หรือนอนไม่หลับเรื้อรัง
8.ช่วยลดความอ้วน และดูแลรูปร่าง เพราะช่วยปรับระดับน้ าตาลในเลือดให้คงที่ จึงช่วยลดอาการชอบ
กินจุบกินจิบลงได้พอสมควร
6 ขมิ้น
แนะน าให้ใช้ขมิ้นผงเพื่อความสะดวก และเป็นขมิ้นประเภทเดียวกับที่เราท าอาหารและขัดตัวด้วย หา
ซื้อได้ง่ายๆ จากตลาด ซูเปอร์มาร์เกต หรือร้านออนไลน์ต่างๆ แถมยังราคาไม่แพงอีกด้วย วิธีท าก็เพียงแค่ต้มน้ า
ในหม้อใหญ่ๆ ด้วยไฟกลาง ใส่ขมิ้นผงลงไป 5 ช้อนโต๊ะค่ะ หากจะท าผ้ามัดย้อม ก็ใช้หนังยางมัดผ้าให้แน่น ส่วน
ผ้าที่ให้ส าหรับการย้อมควรเป็นผ้าสีอ่อนอย่างขาวหรือครีม ก่อนใส่ผ้าส าหรับย้อมลงไปในหม้อผสมขมิ้นเดือดๆ
ให้น าผ้าไปแช่น้ าเย็นหรือน้ าธรรมดาก่อน จะช่วยให้ผ้าดูดสีน้ าขมิ้นได้ดีขึ้น บิดผ้าให้หมาด เมื่อน้ าขมิ้นเดือดให้
ลดไฟต่ าลงแล้วจึงใส่ผ้าลงไป ต้มต่อไปอีก 1 ชั่วโมง หมั่นค้นเพื่อให้สีติดทั่วถึง เมื่อครบก าหนดเวลาแล้วก็ยก
Slide 26
หม้อลงค่ะ ปล่อยให้เย็น 15 นาที จากนั้นจึงน าผ้ามาล้างน้ าธรรมดาเพื่อล้างสีส่วนเกินออก ให้เหลือแต่สีที่ติดใน
เนื้อผ้าแล้ว ถ้าท าผ้ามัดย้อมก็ให้แกะหนังยางออก ตากให้แห้ง เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ
ขมิ้นชัน ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa L. วงศ์ Zingiberaceae ชื่อพ้อง Curcuma domestica
Valeton ชื่อสามัญ ขมิ้น* ขมิ้นแกง ขมิ้นชัน ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว ขี้มิ้น ตายอ สะยอ หมิ้น Turmeric ลักษณะ
ทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน เนื้อในสีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอม ใบออกเป็นรัศมีติดผิวดิน รูปหอก
แกมขอบขนาน ดอกออกเป็นช่อ ใบประดับสีเขียวอ่อนๆ หรือสีขาว รูปหอกเรียงซ้อนกัน ใบประดับ 1 ใบ มี 2
ดอก ใบประดับย่อยรูปขอบขนานด้านนอกมีขน กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูปท่อ มีขน กลีบดอกสีขาว โคนเชื่อม
ติดกันเป็นท่อยาว ปลายแยกเป็น 3 ส่วน เกสรผู้คล้ายกลีบดอก มีขนอับเรณูอยู่ที่ใกล้ๆ ปลาย ท่อเกสรเมียเล็ก
ยาว ยอดเกสรเมียรูปaaaaaปากแตร เกลี้ยง รังไข่มี 3 ช่อง แต่ละช่องมีไข่อ่อน 2 ใบ ส่วนทีใช้ประโยชน์ : เหง้า
สด และแห้ง
สรรพคุณ
แก้ท้องเสีย แก้แน่นจุกเสียด รักษาโรคกระเพาะอาหาร ภายนอกใช้รักษาแผลเรื้อรังและแผลสด
แหล่งก าเนิดและกระจายพันธุ์ : ขมิ้นชัน มีถิ่นก าเนิดในประเทศแถบเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่
ปรากฏหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งธรรมชาติในสภาพพืชป่า มีข้อสันนิษฐานว่า ขมิ้นชันเป็นพืชปลูกที่เกิด
จากกระบวนการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติและมีโครโมโซม 3 ชุด ซึ่งเป็นหมัน มีการสืบทอดพันธุ์กันต่อมาโดย
วิธีการคัดเลือกพันธุ์และขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ปัจจุบันมีเขตการกระจายพันธุ์ปลูกทั่วไปในภูมิภาคที่มี
อากาศร้อนหรือร้อนชื้น ทั่วโลก แหล่งที่ปลูกขมิ้นชันเป็นการค้าขนาดใหญ่ของโลก คือ อินเดีย มีแหล่งอื่นบ้าง
แถบเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงaใต้ ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
7 ขี้เหล็กบ้าน
Slide 27
ขี้เหล็ก ชื่อสามัญ :Siamese senna, Siamese cassia, Cassod tree, Thai copperpod ชื่อ
วิทยาศาสตร์ :Cassia siamea Lamk. ชื่อวงศ์ :FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE) วงศ์ถั่ว
วงศ์ย่อยราชพฤกษ์ ชื่ออื่น :ขี้เหล็กแก่น (ราชบุรี), ขี้เหล็กบ้าน (ล าปาง,สุราษฎร์ธานี), ผักจี้ลี้ แมะขี้แหละพะโด
(แม่ฮ่องสอน), ยะหา (ปัตตานี), ขี้เหล็กใหญ่ (ภาคกลาง), ขี้เหล็กหลวง (ภาคเหนือ), ขี้เหล็กจิหรี่ (ภาคใต้)
ลักษณะทั่วไป :ลักษณะของต้นขี้เหล็ก เป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 8-15 เมตร ล าต้นมักคดงอ เปลือกมีสีเทาถึง
น้ าตาลด าแตกเป็นร่องตื้น ๆ ตามยาว แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแคบ ส่วนลักษณะของผลขี้เหล็ก มีลักษณะเป็นฝัก
แบนกว้าง 1.4 เซนติเมตร ยาว 15-23 เซนติเมตร มีความหนา มีสีน้ าตาล มีเมล็ดหลายเมล็ด ลักษณะของใบ
ขี้เหล็ก เป็นใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับกัน ใบเป็นสีเขียวเข้ม มีใบย่อยรูปรี 5-12 คู่ กว้างประมาณ 1.5
เซนติเมตร ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ที่ปลายสุดเป็นใบเดี่ยว ปลายใบเว้าตื้น โคนใบมน ขอบและแผ่นใบเรียบ
ลักษณะของดอกขี้เหล็ก จะออกดอกเป็นช่อแยกแขนงที่ปลายกิ่ง มีดอกสีเหลือง กลีบเลี้ยงกลมมี 3-4 กลีบ
ปลายมน กลีบดอกมี 5 กลีบ ปลายมน โคนเรียว หลุดร่วงง่าย ก้านดอกจะยาว 1-1.5 เซนติเมตร และมีเกสรตัว
ผู้หลายเกสร และในบรรดาผักผลไม้ไทยทั้งหลาย ดอกขี้เหล็กก็จัดเป็นผักที่มีวิตามินซีสูงมากที่สุดเป็นอันดับ 1
โดยมีวิตามินซีมากถึง 484 มิลลิกรัมต่อดอกขี้เหล็ก 100 กรัม ขี้เหล็ก เป็นพืชผักสมุนไพรที่หาได้ง่ายตามตลาด
นอกจากจะน ามาใช้ท าเป็นอาหารไว้รับประทานแล้ว ในต าราการแพทย์แผนไทยยังได้มีการใช้ประโยชน์ของต้น
ขี้เหล็กในหลาย ๆ ด้าน เช่น ใช้แก้อาการท้องผูก บ ารุงโลหิต บ ารุงน้ าดี ช่วยท าให้เจริญอาหาร ช่วยก าจัดรังแค
ท าความสะอาดผมท าให้ผมชุ่มชื่นเงางาม เป็นต้น และนอกจากนี้ขี้เหล็กยังมีสาร "บาราคอล" (Baracol) ที่มี
ฤทธิ์ในการกล่อมประสาท และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอ่อน ๆ ท าให้นอนหลับสบาย แต่ก็ใช่ว่ามันจะได้ผลอย่าง
ที่หลายคนเข้าใจ เพราะในกระบวนการปรุงอาหารให้ปลอดภัยก็ต้องต้มน้ าทิ้งเสียก่อน เพื่อลดความขมและ
ความเฝื่อน ท าให้ความเป็นพิษและฤทธิ์ดังกล่าวลดน้อยลงไปด้วย โดยส่วนที่น ามาใช้และมีสรรพคุณทางยา
ได้แก่ ดอก ใบ ใบแก่ ฝัก เปลือกฝัก เปลือกต้น ล าต้น กิ่ง แก่น ทั้งต้น และราก โทษของขี้เหล็ก การรับประทาน
Slide 28
ขี้เหล็กในลักษณะที่น าใบขี้เหล็กไปตากแห้งแล้วบรรจุเป็นเม็ด อาจท าให้เกิดการเสื่อมและการตายของเซลล์ตับ
หรืออาจท าให้เกิดภาวะตับอักเสบ ท าให้เกิดโรคตับได้ ซึ่งการรับประทานขี้เหล็กอย่างปลอดภัย ต้องเลือกใบ
เพสลาดหรือตั้งแต่ยอดอ่อนถึงใบขนาดกลาง และน าไปต้มให้เดือด เทน้ าทิ้งสัก 2-3 น้ า แล้วค่อยน ามาปรุง
อาหารหรือน าไปท าเป็นยา ซึ่งวิธีการแบบพื้นบ้านนี้จะช่วยฆ่าฤทธิ์และท าลายสารที่เป็นอันตรายต่อตับได้ และ
ยังช่วยลดความขมลงอีกด้วย
ประโยชน์ของขี้เหล็ก
1 ใบขี้เหล็กมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง (ใบ)
2 ดอกขี้เหล็กมีวิตามินที่ช่วยบ ารุงและรักษาสายตา (ดอก)
3 ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ป้องกันหวัด ช่วยท าให้แผลหายเร็วขึ้น (ดอก)
4 ช่วยบ ารุงธาตุ (ราก)
5 แก้ธาตุพิการ แก้ไฟ ท าให้ตัวเย็น (แก่น)
6 ช่วยเจริญธาตุไฟ (ราก)
7 ช่วยแก้โรคกระษัย (ราก, ล าต้นและกิ่ง, เปลือกต้น, ทั้งต้น)
8 ช่วยรักษาอาการตัวเหลือง (ทั้งต้น) ช่วยรักษาโรคเบาหวาน (ใบ, แก่น)
9 ช่วยลดความดันโลหิตสูง (ใบ)
10 ช่วยรักษาวัณโรค (แก่น)
11 ช่วยยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง (ดอก)
12 ช่วยรักษามะเร็งปอด ปอดอักเสบ มะเร็งล าไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร (แก่น)
13 ช่วยแก้อาการชักในเด็ก (ราก)
14 แก้ไตพิการ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
15 ใบขี้เหล็กมีสารที่ชื่อว่า "แอนไฮโดรบาราคอล" (Anhydrobarakol) ที่มีสรรพคุณช่วยในการคลาย
ความเครียด บรรเทาอาการจิตฟุ้งซ่าน (ใบ)
16 ช่วยบ ารุงสมอง บ ารุงประสาท แก้โรคประสาท และช่วยสงบประสาท (ดอก)
17 ช่วยท าให้นอนหลับสบาย แก้อาการนอนไม่หลับ ผ่อนคลายความกังวล ด้วยการใช้ใบขี้เหล็กแห้ง
30 กรัม (หรือใบสด 50 กรัม)
18 น ามาต้มกับน้ าไว้ดื่มก่อนนอน หรือจะใช้ใบอ่อนท าเป็นยาดองเหล้า โดยใส่เหล้าขาวพอท่วมยา แช่
ทิ้งไว้ 7 วันและคนทุกวันให้น้ ายาสม่ าเสมอ เมื่อครบให้กรองเอากากยาออก จะได้น้ ายาดองเหล้าขี้เหล็ก แล้ว
น ามาดื่มครั้งละ 1-2 ช้อนชาก่อนเข้านอน (ใบ, ดอก)
19 ช่วยแก้ลมขึ้นเบื้องสูง เบื้องบน โลหิตขึ้นเบื้องบน ท าให้มีอาการระส่ าระสายในท้อง (ฝัก)
20 ช่วยรักษาหืด (ดอก)
21 ช่วยรักษาโรคโลหิตพิการ ผายธาตุ (ดอก)
22 ช่วยบ ารุงโลหิต (ใบ)
Slide 29
23 ช่วยขับโลหิต (แก่น)
24 ช่วยขับพิษโลหิต (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
25 แก้เลือดก าเดาไหล (ต้น, ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
26 ช่วยถ่ายพิษไข้ แก้ไข้กลับซ้ า แก้ไข้หนาว ไข้ผิดส าแดง (ราก)
27 ช่วยดับพิษไข้ (เปลือกต้น, ทั้งต้น)
28ช่วยแก้พิษไข้เพื่อน้ าดี พิษไข้เพื่อเสมหะ (เปลือกต้น, ฝัก)
29 ช่วยแก้พิษเสมหะ (ทั้งต้น)
30 ช่วยก าจัดเสมหะ (ใบ)
31 ช่วยขับมุตกิด กัดเถาดาน กัดเสมหะ และกัดเมือกในล าไส้ (เปลือกฝัก)
32 ขี้เหล็กมีสรรพคุณช่วยแก้ร้อนใน (ใบ)
33 ช่วยท าให้เจริญอาหาร (ดอก)
34 แก้อาการเบื่ออาหาร ด้วยการใช้ใบขี้เหล็กแห้ง 30 กรัม (หรือใบสด 50 กรัม)
35 น ามาต้มกับน้ าไว้ดื่มก่อนนอน หรือจะใช้ใบอ่อนท าเป็นยาดองเหล้า โดยใส่เหล้าขาวพอท่วมยา แช่
ทิ้งไว้ 7 วันและคนทุกวันให้น้ ายาสม่ าเสมอ เมื่อครบให้กรองเอากากยาออก จะได้น้ ายาดองเหล้า
ขี้เหล็ก แล้วน ามาดื่มครั้งละ 1-2 ช้อนชาก่อนเข้านอน (ใบแห้ง, ใบอ่อน)
36 ช่วยแก้อาการท้องผูก ด้วยการใช้ใบอ่อน 2-3 ก ามือ หรือแก่นประมาณ 2 องคุลี ประมาณ 3-4 ชิ้น
น ามาต้มกับน้ าครึ่งถ้วยแก้ว เติมเกลือเล็กน้อย ใช้ดื่มหลังตื่นนอนตอนเช้าหรือก่อนอาหารเช้าครั้งเดียว
(ใบอ่อน, แก่น) ช่วยรักษาโรคบิด (ใบ)
37 ใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ด้วยการใช้ใบอ่อน 2-3 ก ามือ หรือแก่นประมาณ 2 องคุลี ประมาณ 3-4
ชิ้น น ามาต้มกับน้ าครึ่งถ้วยแก้ว เติมเกลือเล็กน้อย ใช้ดื่มหลังตื่นนอนตอนเช้าหรือก่อนอาหารเช้าครั้ง
เดียว (ดอก, ใบ, แก่น, ล าต้นและกิ่ง, เปลือกต้น, ราก, ทั้งต้น)
38 ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร (เปลือกต้น)
39 ช่วยบ ารุงน้ าดี (ทั้งต้น)
40 ช่วยขับปัสสาวะ (ใบ, ล าต้น และกิ่ง)
41 ช่วยรักษานิ่วในไต (ใบ, ล าต้น และกิ่ง)
42 ช่วยรักษาโรคหนองใน (แก่น, ทั้งต้น)
43 รักษาแผลกามโรค (ราก, แก่น)
44 ช่วยแก้หนองใส (แก่น)
45 ช่วยขับระดูขาว (ใบ, ล าต้น และกิ่ง)
46 ช่วยฟอกโลหิตในสตรี (ต้น)
47 ช่วยขับพยาธิ (ใบ, ดอก)
48 ช่วยรักษาอาการเหน็บชา (ใบ, ราก)
49 รากใช้ทาแก้อัมพฤกษ์ให้หย่อน (ราก)
Slide 30
50 ช่วยท าให้เส้นเอ็นหย่อน (ทั้งต้น)
51 แก้เส้นเอ็นพิการ (เปลือกฝัก)
52 ช่วยรักษาโรคผิวหนัง (ล าต้นและกิ่ง)
53 ช่วยรักษาโรคหิด (เปลือกต้น)
54 ช่วยรักษาฝีมะม่วง (ใบ)
55 ทางภาคใต้ใช้รากขี้เหล็กผสมกับสารส้ม น ามาทาแผลฝีหนอง (ราก)
56 ช่วยแก้อาการฟกช้ า (ราก, ล าต้น และกิ่ง)
57 ประโยชน์ของขี้เหล็กช่วยแก้บวม (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
58 ช่วยรักษารังแค ด้วยการใช้ดอกขี้เหล็กผสมกับมะกรูดย่างไฟ 2 ลูก โดยต้องย่างให้มีรอยไหม้ที่ผิว
มะกรูดด้วย ใช้ดอกขี้เหล็ก 2 ช้อนโต๊ะ พิมเสน 1 ช้อนชา น ามาปั่นผสมกันแล้วเติมน้ าปูนใส 100 cc. ปั่นจนเข้า
กัน แล้วคั้นกรองเอาแต่น้ า จากนั้นน าน้ ามันมะกอกเติมผสมเข้าไปประมาณ 60-100 cc. ผสมจนเข้ากันแล้ว
น ามาหมักผมทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีก่อนการสระผมทุกครั้ง จะช่วยรักษารังแคได้ (ดอก)
59 ใช้ท าปุ๋ยหมัก (ใบแก่)
60 ดอกและดอกอ่อนใช้รับประทานหรือท าเป็นแกงขี้เหล็กได้ (ดอก)
Slide 31
บทที่ 3
วิธีกาด าเนินงาน
1 เครื่องมือและอุปกรณ์
1.1 เสื้อสีขาวจ านวน 1 ตัว
1.2 หม้อสแตนเลส 1 หม้อ
1.3 ไม้พาย 1 อัน
1.4 เตาแก๊ส 1 หัว
2 วัตถุดิบที่ใช้
2.1 ดอกอัญชันแห้ง 300 กรัม
2.2 ดอกดาวเรือง 300 กรัม
2.3 เปลือกมังคุด 300 กรัม
2.4 หอมหัวใหญ่ 300 กรัม
2.5 กล้วย 300 กรัม
2.6 ขมิ้น 300 กรัม
2.8 ขี้เหล็กบ้าน 300 กรัม
3 ขั้นตอนในการท า
3.1 น้ าแดอกอัญชันแห้ง จ านวน 300 กรัม ใส่หม้อต้มในน้ าเปล่า 1000 มิลลิลิตร โดยใช้เวลา 15
นาที
3.2 น าตระแกรงกรองดอกอัญชันออก
3.3 แล้วน าเสื้อที่มัดไว้ไปต้นในน้ าดอกอัญชัน 20 นาที
3.4 หลักจากต้มเสร็จแล้วน าไปตากให้แห้ง
3.5 สรุปผลการทดลอง
3.6 แล้วท าการทดลองตามล าดับที่ 1 – 6 ซ้ าโดยเปลี่ยนวัสดุดอกอัญชันแห้งจากเป็นดอกดาวเรือง
แห้ง, เปลือกมังคุด,หอมหัวใหญ่,กล้วยและขี้เหล็กบ้าน
4 ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา
4.1 ระยะที่ใช้ในการศึกษา ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566
5 ขั้นตอนการออกแบบโลโก้
5.1 เปิดโปรแกรม canva
5.2 ตั้งค่าหน้ากระดาษ
5.3 ขนาดตัวหนักสือ
5.4 เลือกฟ้อน
Slide 32
บทที่ 4
การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยเรื่องผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนธรรมศาสตร์
คลองหลวงวิทยาคมมีวัตถุประสงค์เพื่อลดการใช้สารเคมีในเสื้อผ้าและศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อผ้า
มัดย้อมจากสีธรรมชาติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กลุ่มตัวอย่างจ านวน 35 คน ผู้วิจัยได้ท าการ
วิเคราะห์ข้อมูล น าเสนอผลการวิจัย และแปลความหมายตามล าดับดังนี้
ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
ตอนที่ 2 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนธรรมศาสตร์คลอง
หลวงวิทยาคม ที่มีต่อโครงงานเรื่องผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
ตารางที่ 1อายุของกลุ่มทดลอง
อายุ จ านวนคน ร้อยละ
16 1 02.90
17 34 97.10
18 0 0.00
จากตารางที่ 1อายุของนักเรียนกลุ่มทดลอง พบว่า นักเรียนอายุ 16 มี 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.9 นักเรียนอายุ
17 มี 34 คน คิดเป็น ร้อยละ 97.1
ตารางที่ 2 เพศของกลุ่มทดลอง
เพศ จ านวนคน ร้อยละ
ชาย 17 51.40
หญิง 18 48.60
อื่นๆ 0 0.00
จากตารางที่ 2 เพศของนักเรียนกลุ่มทดลอง พบว่า นักเรียนเพศชาย มี 17 คน คิดเป็นร้อยละ 51.40
นักเรียนเพศหญิง มี 18 คน คิดเป็น ร้อยละ 48.60
ตอนที่ 2 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวง
วิทยาคมที่มีต่อโครงงานเรื่องผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ
Slide 33
ตารางที่ 3 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวง
วิทยาคมที่มีต่อโครงงานเรื่องผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ
รายการประเมิน ค่าเฉลี่ย
X
ส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน
(S.D.)
แปลผล
1.ความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์ 4 0.35 มาก
2.สีของผลิตภัณฑ์ 3.87 0.59 ปานกลาง
3.การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์ 3.78 0.54 ปานกลาง
4.ลดขยะจากผ้าที่เหลือใช้ 3.81 0.58 ปานกลาง
5.ประสิทธิภาพในการใช้ผลิตภัณฑ์ 3.84 0.50 ปานกลาง
เฉลี่ย 3.86 0.52 ปานกลาง
จากตารางที่ 3 แสดงผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อ
โครงงานเรื่องผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติพบว่า ภาพรวมของนักเรียนกลุ่มทดลองมีความพึงพอใจต่อโครงงาน
เรื่องผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (X =3.86, SD = 0.52)
Slide 34
บทที่ 5
สรุปผลอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
สรุปผลการด าเนินงานพบว่าผ้ามัดย้อมจากผ้าสีธรรมชาติ เราสามารถน ามาผลิตตามที่ต้องการมาได้
อย่างมีประสิทธิภาพไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และเป็นการประยุกต์วัสดุเหลือ
ใช้ให้เกิดประโยชน์ โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 ซึ่งสามารถ
สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะได้ดังนี้
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
1.เพื่อช่วยเพื่อลดการใช้สารเคมีในการย้อมผ้า
2.เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการย้อมผ้าจากธรรมชาติ
3.เพื่อสร้างรายได้และเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ผ้าทอ
4.เพื่อพัฒนาสูตรการย้อมผ้าจากธรรมชาติที่คงทนต่อแสงแดดและการซัก
สมมุตติฐานของการศึกษา
1 การย้อมผ้าจากธรรมชาติ เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์
2 การย้อมผ้าจากธรรมชาติ สามารถสร้างรายได้และเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ผ้าทอ
3 การย้อมผ้าจากธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมขอบเขตของการศึกษา
1 ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้องที่ 16โรงเรียน
ธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จ านวน 1 ห้องเรียน เป็นนักเรียนทั้งสิ้น 42
คน
2.กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้องที่ 16 เป็นนักเรียน
โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 เป็นนักเรียนทั้งสิ้น 42 คน ได้สุ่ม
อย่างง่าย จ านวน 1 ห้องเรียน เพื่อตอบแบบสอบถามที่สร้างขึ้น
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วยแบบสอบถาม จ านวน1ฉบับ เรื่องเรื่องผ้ามัดย้อมจากสี
ธรรมชาติ โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม 5 ข้อ
การวิเคราะห์ข้อมูล
ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาได้วิเคราะห์ข้อมูลของนักเรียนที่มีต่อเรื่องผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ
โดยคิดคะแนนเฉลี่ยเป็นค่าร้อยละ
สรุปผลการศึกษา
Slide 35
ผลการศึกษาที่มีต่อการศึกษาเรื่องเรื่องผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติอยู่ในระดับปานกลาง
การอภิปรายผล
จากกาศึกษาเรื่องเรื่องผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน
ธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม พบว่านักเรียนทุกคนมีความพึงพอใจหรือทัศนคติอยู่ในระดับกลางคิดเป็น
ร้อยละ 3.8
ข้อเสนอแนะ
1 ศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับการย้อมผ้าจากธรรมชาติ
2 เรียนรู้จากช่างย้อมผ้าที่มีประสบการณ์
3 พัฒนาเทคนิคการย้อมผ้าด้วยตนเอง
4 สร้างสรรค์ผลงานผ้าทอที่มีเอกลักษณ์
5 ใช้สีธรรมชาติอย่างยั่งยืน
Slide 36
บรรณานุกรม
ส านักงานเกษตรและสหกรณ์ จังหวัดอ่างทอง อัญชัน สรรพคุณและประโยชน์ของดอกอัญชัน [ออนไลน์]
[ม.ป.ป.] เข้าถึงได้จาก :
https://opsmoac.go.th/angthong-local_wisdom-preview-412891791836 (วันที่สืบค้น
ข้อมูล : 11 ธันวาคม 2566)
เมดไทย ดาวเรือง สรรพคุณและประโยชน์ของดอกดาวเรือง 42 ข้อ [ออนไลน์] [ม.ป.ป.] เข้าถึงได้จาก:
https://
medthai.com/%e0%b8%94%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0
%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87/ (วันที่สืบค้นข้อมูล : 11 ธันวาคม 2566)
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี มังคุด [ออนไลน์] [ม.ป.ป.] เข้าถึงได้จาก :
https://
th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B
8%E0%B8%94 (วันที่สืบค้นข้อมูล : 11 ธันวาคม 2566)
kapook ประโยชน์ของมังคุด ราชินีแห่งผลไม้ไทยที่ต้องลิ้มลอง [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก :
https://health.kapook.com/view93601.html (วันที่สืบค้นข้อมูล : 11 ธันวาคม 2566)
กระเพาะปลาเจ๊คิ้ม หอมหัวใหญ่ [ออนไลน์] [ม.ป.ป.] เข้าถึงได้จาก :
https://www.xn--12cgl9eovjs0hbvd2a3ng1moa.com/article-
%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%
B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88 (วันที่สืบค้นข้อมูล : 11 ธันวาคม 2566)
kasettambon กล้วย ประวัติของกล้วย [ออนไลน์] [ม.ป.ป.] เข้าถึงได้จาก :
HTTPS://WWW.KASETTAMBON.COM/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8
%A7%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%
E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8
%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2/ (วันที่สืบค้นข้อมูล : 11 ธันวาคม 2566)
Slide 37
นาย ภาคภูมิ ศรีอนันต์ ขมิ้นชัน [ออนไลน์] [วันที่ 30 มกราคม 2547] เข้าถึงได้จาก :
HTTPS://WWW.NECTEC.OR.TH/SCHOOLNET/LIBRARY/CREATE-
WEB/10000/SCIENCE/10000-13109.HTML (วันที่สืบค้นข้อมูล : 11 ธันวาคม 2566)
ระบบจัดการข้อมูลพรรณไม้ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ข้อมูลต้นไม้ ขี้เหล็ก [ออนไลน์] [ม.ป.ป.] เข้าถึงได้จาก :
https://
buildings.oop.cmu.ac.th/plant/index.php?op=plants&do=treedetail&treeid=360 (วันที่
สืบค้นข้อมูล : 11 ธันวาคม 2566)
เกษตรไทย มีดี สีย้อมผ้าจากธรรมชาติ [ออนไลน์] [วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559] เข้าถึงได้จาก :
https://kasetthaimeedee.blogspot.com/2016/10/diy.html (วันที่สืบค้นข้อมูล : 11 ธันวาคม
2566)
Tags
Categories
Non-Profit
Download
Download Slideshow
Get the original presentation file
Quick Actions
Embed
Share
Save
Print
Full
Report
Statistics
Views
25
Slides
37
Age
697 days
Related Slideshows
14
AKSHAYA PATRA FILEOrganisation_20_Slides.pptx
j2640850
26 views
2
Zeeshan and Salma Karina Hayat - Philanthropy Without Borders - How Giving Transforms Lives Worldwide.pdf
zeeshanandsalmakarin
28 views
5
Oração da Esperança – Bezerra de Menezes é uma prece espírita que pede pela esperança, tanto para si quanto para os outros
franciscobaptista9406
24 views
345
NOVEL PROMOSI KESEHATAN David Beckham dan Victoria. Kisah Cinta Abad Ini ......... Karya Ferizal The Father of Indonesian Health Literature
FerizalTheFatherofIn
33 views
5
VIDA INDESTRUCTIBLE. Por Jonathan Bravo
JonathanBravo52
22 views
22
mohammad ghadery moghaddam treatment esra
oscarmo878
30 views
View More in This Category
Embed Slideshow
Dimensions
Width (px)
Height (px)
Start Page
Which slide to start from (1-37)
Options
Auto-play slides
Show controls
Embed Code
Copy Code
Share Slideshow
Share on Social Media
Share on Facebook
Share on Twitter
Share on LinkedIn
Share via Email
Or copy link
Copy
Report Content
Reason for reporting
*
Select a reason...
Inappropriate content
Copyright violation
Spam or misleading
Offensive or hateful
Privacy violation
Other
Slide number
Leave blank if it applies to the entire slideshow
Additional details
*
Help us understand the problem better