ลิเก.doc

pinglada1 3 views 18 slides Jul 05, 2022
Slide 1
Slide 1 of 18
Slide 1
1
Slide 2
2
Slide 3
3
Slide 4
4
Slide 5
5
Slide 6
6
Slide 7
7
Slide 8
8
Slide 9
9
Slide 10
10
Slide 11
11
Slide 12
12
Slide 13
13
Slide 14
14
Slide 15
15
Slide 16
16
Slide 17
17
Slide 18
18

About This Presentation

ลิเก.doc


Slide Content

ลิเก
บทน ำ
เกิดขึ้นในสมัยรัชกำลที่ 5 ค ำว่ำ ลิเก ในภำษำมลำยู แปลว่ำ ขับร้อง เดิมเป็นกำรสวดบูชำพระในศำสนำอิสลำม
สวดเพลงแขกเข้ำกับจังหวะร ำมะนำ พวกแขกเจ้ำเซ็นได้สวดถวำยตัวเป็นครั้งแรกในกำรบ ำเพ็ญพระรำชกุศล
เมื่อ พ.ศ. 2423 ต่อมำคิดสวดแผลงเป็นล ำน ำต่ำงๆ คิดลูกหมดเข้ำแกมสวด ร้องเป็นเพลงต่ำงภำษำ
และท ำตัวหนังเชิด โดยเอำร ำมะนำเป็นจอก็มี ลิเกจึงกลำยเป็นกำรเล่นขึ้น ต่อมำมีผู้คิดเล่นลิเกอย่ำงละคร คือ
เริ่มร้องเพลงแขก แล้วต่อไปเล่นอย่ำงละครร ำ และใช้ปี่พำทย์อย่ำงละคร
ลิเกมี 3 แบบ คือ
1. ลิเกบันตน เริ่มด้วยร้องเพลงบันตนเป็นภำษำมลำยู ต่อมำก็แทรกค ำไทยเข้ำไปบ้ำง ดนตรีก็ใช้ร ำมะนำ
จำกนั้นก็แสดงเป็นชุดๆ ต่ำงภำษำ เช่น แขก ลำว มอญ พม่ำ
ต้องเเริ่มด้วยชุดแขกเสมอ ผู้แสดงแต่งตัวเป็นชำติต่ำงๆ ร้องเอง พวกตีร ำมะนำเป็นลูกคู่
มีกำรร้องเพลงบันตนแทรกระหว่ำงกำรแสดงแต่ละชุด
2. ลิเกลูกบท คือ กำรแสดงผสมกับกำรขับร้องและบรรเลงเพลงลูกบท ร้องและร ำไปตำมกระบวนเพลง
ใช้ปี่พำทย์ประกอบแทนร ำมะนำ แต่งกำยตำมที่นิยมในสมัยนั้นๆ แต่สีฉูดฉำด ผู้แสดงเป็นชำยล้วน
เมื่อแสดงหมดแต่ละชุด ปี่พำทย์จะบรรเลงเพลง 3 ชั้นที่เป็นแม่บทขึ้นอีก และออกลูกหมดเป็นภำษำต่ำงๆ
ชุดอื่นๆ ต่อไปใหม่
3. ลิเกทรงเครื่อง เป็นกำรผสมผสำน ระหว่ำงลิเกบันตนและลิเกลูกบท มีท่ำร ำเป็นแบบแผน
แต่งตัวคล้ำยละครร ำ แสดงเป็นเรื่องยำวๆ อย่ำงละคร เริ่มด้วยโหมโรงและบรรเลงเพลงภำษำต่ำงๆ เรียกว่ำ
"ออกภำษำ" หรือ "ออกสิบสองภำษำ" เพลงสุดท้ำยเป็นเพลงแขก พอปี่พำทย์หยุด
พวกตีร ำมะนำก็ร้องเพลงบันตน แล้วแสดงชุดแขก เป็นกำรค ำนับครู ใช้ปี่พำทย์รับ
ต่อจำกนั้นก็แสดงตำมเนื้อเรื่อง ลิเกที่แสดงในปัจจุบันเป็นลิเกทรงเครื่อง
วิธีแสดง เดินเรื่องรวดเร็ว ตลกขบขัน กำรแสดงเริ่มด้วยโหมโรง 3 ลำ จบแล้วบรรเลงเพลงสำธุกำร
ให้ผู้แสดงไหว้ครู แล้วจึงออกแขก บอกเรื่องที่จะแสดง สมัยก่อนมีกำรร ำถวำยมือหรือร ำเบิกโรง
แล้วจึงด ำเนินเรื่อง ต่อมำกำรร ำถวำยมือก็เลิกไป ออกแขกแล้วก็จับเรื่องทันที
กำรร่ำยร ำน้อยลงไปจนเกือบไม่เหลือเลย คงมีเพียงบำงคณะที่ยังยึดศิลปะกำรร ำอยู่
ผู้แสดง เดิมใช้ผู้ชำยล้วน ต่อมำนำยดอกดิน เสือสง่ำ ให้บุตรสำวชื่อละออง
แสดงเป็นตัวนนำงประจ ำคณะ ต่อมำคณะอื่นก็เอำอย่ำงบ้ำง บำงคณะให้ผู้หญิงเป็นพระเอก เช่น
คณะก ำนันหนู บ้ำนผักไห่ อยุธยำ กำรแสดงชำยจริงหญิงแท้นั้น คณะนำยหอมหวล นำคศิริ

เริ่มเป็นคณะแรก ผู้แสดงต้องมีปฏิภำณในกำรร้องและเจรจำ ด ำเนินเรื่องโดยไม่มีกำรบอกบทเลย
หัวหน้ำคณะจะเล่ำให้ฟังก่อนเท่ำนั้น นอกจำกนี้ กำรเจรจำต้องดัดเสียงให้ผิดปกติ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ของลิเก
แต่ตัวสำมัญชนและตัวตลกพูดเสียงธรรมดำ
เพลงและดนตรี ด ำเนินเรื่องใช้เพลงหงส์ทองชั้นเดียว แต่ดัดแปลงให้ด้นได้เนื้อควำมมำกๆ
แล้วจึงรับด้วยปี่พำทย์ แต่ถ้ำเล่นเรื่องต่ำงภำษำ ก็ใช้เพลงที่มีส ำเนียงภำษำนั้นๆ ตำมท้องเรื่อง
แต่ด้นให้คล้ำยหงส์ทอง ต่อมำนำยดอกดิน เสือสง่ำ ได้ดัดแปลงเพลงมอญครวญของลิเกบันตนที่ใช้กับบทโศก
มำเป็นเพลงแสดงควำมรักด้วย
เรื่องที่แสดง นิยมใช้เรื่องละครนอก ละครใน และเรื่องพงศำวดำรจีน มอญ ญวน เช่น สำมก๊ก รำชำธิรำช
ฉันใดเวือง
การแต่งกาย แต่งตัวด้วยเครื่องประดับสวยงำม เลียนแบบเครื่องทรงกษัตริย์ จึงเรียกว่ำลิเกทรงเครื่อง
"สมัยของแพง" ก็ลดเครื่องแต่งกำยที่แพรวพรำวลงไป แต่บำงคณะก็ยังรักษำแบบแผนเดิมไว้
โดยตัวนำยโรงยังแต่งเลียนแบบเครื่องทรงของกษัตริย์ในส่วนที่มิใช่เครื่องต้น เช่น นุ่งผ้ำยกทอง
สวมเสื้อเข้มขำบหรือเยียรบับ แขนใหญ่ถึงข้อมือ คำดเข็มขัดนอกเสื้อ ประดับเครื่องรำชอิสริยำภรณ์ต่ำงๆ
แต่ดัดแปลงเสียใหม่ เช่น เครื่องสวมศีรษะ เครื่องประดับหน้ำอก สำยสะพำย เครื่องประดับไหล่
ตัวนำงนุ่งจีบยกทอง สวมเสื้อแขนกระบอกยำว ห่มสไบปักแพรวพรำว
สวมกระบังหน้ำต่อยอดมงกุฎ ที่แปลกกว่ำกำรแสดงอื่นๆ คือสวมถุงเท้ำยำวสีขำวแทนกำรผัดฝุ่นอย่ำงละคร
แต่ไม่สวมรองเท้ำ
สถานที่แสดง ลำนวัด ตลำด สนำมกว้ำงๆ โดยปลูกเพิงสูงระดับตำ ด้ำนหน้ำเป็นที่แสดง
ด้ำนหลังเป็นที่พักที่แต่งตัว

ลิเก

ที่มำของลิเก
ลิเก เป็นค ำที่มีรำกศัพท์มำจำกภำษำ ฮิบรู ว่ำ ซำคูร (Zakhur) ซึ่งหมำยถึง
กำรสวดสรรเสริญพระเจ้ำในศำสนำยูดำย หรือยิว มำแต่โบรำณหลำยพันปี
ต่อมำชำวอำหรับเรียกกำรสวดสรรเสริญพระเจ้ำว่ำ ซิกร (Zikr) และ ซิกิร (Zikir)
ผู้สวดนั่งล้อมเป็นวงโยกตัวไปมำ เมื่อกำรสวดแพร่หลำยเข้ำไปในอินเดียโดยชำวอิหร่ำน เรียกว่ำ ดฮิกิร
(Dhikir) โดยมีกำรตีกลองร ำมะนำประกอบ ครั้นกำรสวดแพร่มำถึงจังหวัดทำงภำคใต้ของประเทศไทย
ก็เรียกเป็นภำษำถิ่นว่ำ ดิเก (Dikay) และจิเก (Jikay) ชำวมุสลิมน ำดิเกเข้ำมำสู่กรุงเทพมหำนคร
ตอนต้นสมัยรัตนโกสินทร์ กำรเรียกก็เปลี่ยนเป็น ยิเก หรือ ยี่เก (Yikay)
พระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ำเจ้ำอยู่หัว รัชกำลที่ ๖ ทรงเรียกว่ำ ลิเก (Likay) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒
และใช้เรียกอย่ำงเป็นทำงกำรตั้งแต่นั้นมำ ส่วนค ำว่ำ ยี่เก ยังคงใช้เรียกกันอยู่ อนึ่ง
ลิเกได้ถูกเปลี่ยนชื่อตำมพระรำชกฤษฎีกำก ำหนดวัฒนธรรมทำงศิลปกรรม พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็น นำฏดนตรี
และเรียกค ำนี้แทนลิเกอยู่ประมำณ ๑๕ ปี ก็กลับมำเรียกว่ำ ลิเก เหมือนเดิมจนถึงปัจจุบัน
ลิเก มำจำก จิเก คือ กำรสวดสรรเสริญพระเจ้ำของชำวไทยมุสลิม ผสมผสำนกับละครร ำของไทย
จนเกิดเป็นละครแบบใหม่ ในสมัยรัชกำลที่ ๕ และเป็นที่นิยมของชำวบ้ำนมำจนถึงปัจจุบัน
ลิเก หรือที่ชำวบ้ำนเรียกว่ำ ยี่เก เป็นละครเร่ที่เจ้ำภำพจ้ำงไปแสดงที่วัด หรือที่บ้ำน ในงำนประจ ำปี งำนบวช
และงำนศพ หรือปลูกโรงล้อมรั้วเก็บเงินค่ำเข้ำชมเอง โรงลิเกเป็นเวทียกพื้นเล็กน้อย
มีตั่งหรือเตียงไม้วำงตรงกลำงเป็นที่นั่งแสดง ข้ำงหลังตั่งยกพื้นสูงขึ้น เป็นที่ตั้งวงดนตรีปี่พำทย์
ข้ำงหลังมีฉำกผ้ำวำดเป็นทิวทัศน์ กั้นมิให้ผู้ชมเห็นหลังโรง ซึ่งเป็นที่ส ำหรับแต่งตัว
ลิเก แสดงทั้งกลำงวัน และกลำงคืน เริ่มต้นด้วยโหมโรง คือ เล่นดนตรีเรียกคนมำชมลิเก ออกแขก คือ
มีผู้แสดงออกมำแนะน ำคณะลิเก เรื่องที่จะแสดง ขอบคุณเจ้ำภำพ และผู้ชม
จบออกแขกก็แสดงลิเกเป็นเรื่องอย่ำงละครไปจนจบเรื่อง หรือหมดเวลำ ตัวลิเกแบ่งออกเป็น พระเอก นำงเอก
ตัวโกง ตัวอิจฉำ และตัวตลก ซึ่งต่ำงออกมำแสดงอย่ำงสวยงำม รวดเร็ว สนุกสนำน จัดจ้ำน และตลกโปกฮำ
ตัวลิเกร้องร ำ และเจรจำ ด้วยกำรด้น คือ คิดขึ้นเองเดี๋ยวนั้น ไม่มีกำรฝึกซ้อมมำก่อน และไม่มีกำรบอกบท
ภำษำที่ใช้เป็นภำษำไทยภำคกลำง ลิเกจึงมีแสดงในภำคกลำงเป็นส่วนใหญ่
ลิเกยุคต่ำงๆ
ยุคลิเกสวดแขก

คือ ยุคที่ชำวไทยมุสลิมเดินทำงจำกภำคใต้เข้ำมำตั้งถิ่นฐำนในกรุงเทพมหำนคร ในสมัยรัชกำลที่ ๓
แล้วได้น ำกำรสวดสรรเสริญพระเจ้ำประกอบกำรตีร ำมะนำ (กลองหน้ำเดียวตีประกอบล ำตัดในปัจจุบัน)
เข้ำมำด้วย ต่อมำในสมัยรัชกำลที่ ๕ ลูกหลำนชำวไทยมุสลิม ก็ใช้ภำษำไทยแทนภำษำมลำยู
ส ำหรับกำรแสดงลิเกสวดแขกนั้น ผู้แสดงชำยนั่งล้อมเป็นวงกลม มีคนตีร ำมะนำเสียงทุ้มและแหลม ๔ ใบ หรือ
๑ ส ำรับ กำรแสดงเริ่มด้วยกำรสวดสรรเสริญพระเจ้ำเป็นภำษำมลำยู
จำกนั้นก็ร้องเพลงด้นกลอนภำษำมลำยูตอนใต้ เรียกกันว่ำ ปันตุน หรือ ลิเกบันตน
ต่อมำแปลงจำกภำษำมลำยูเป็นภำษำไทย กำรแสดงบำงครั้งมีกำรประชันวงร้องตอบโต้กัน
จนกลำยมำเป็นล ำตัดในปัจจุบัน

ยุคลิเกออกภำษำ
คือ ยุคที่ลิเกน ำเพลงออกภำษำของกำรบรรเลงปี่พำทย์ และกำรสวดคฤหัสถ์ในงำนศพสมัยรัชกำลที่ ๕
มำเพิ่มเข้ำไปในกำรแสดงลิเก
เพลงออกภำษำเป็นกำรแสดงล้อเลียนชำวต่ำงชำติที่เข้ำมำอำศัยอยู่ในกรุงเทพมหำนครในขณะนั้น
ด้วยกำรน ำกำรแต่งกำย น ้ำเสียงในกำรพูดภำษำไทย ปนกับภำษำของตน
และเพลงที่ขับร้องในหมู่ชำวต่ำงชำติเหล่ำนั้น มำล้อเลียนเป็นที่สนุกสนำน ผู้ชมนิยมกันมำก
เมื่อลิเกน ำมำใช้ก็เริ่มต้นกำรแสดงด้วยกำรสวดแขกเป็นกำรออกภำษำมลำยู
เพรำะถือว่ำเป็นกำรแสดงที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสิริมงคล แล้วจึงต่อด้วยภำษำอื่นๆ เช่น มอญ จีน ลำว ญวน พม่ำ
เขมร ญี่ปุ่น ฝรั่ง ชวำ อินเดีย ตะลุง (ปักษ์ใต้) กำรแสดงออกภำษำเป็นกำรแสดงตลกชุดสั้นๆติดต่อกันไป
ต่อมำปรับปรุงกำรแสดงมำเป็นเริ่มต้นด้วยสวดแขก แล้วต่อด้วยชุดออกภำษำแสดงเป็นละครเรื่องยำวอีก ๑ ชุด

ยุคลิเกทรงเครื่อง
กำรแสดงลิเกออกภำษำในส่วนที่เป็นสวดแขก กลำยเป็นกำรออกแขก
มีผู้แสดงแต่งกำยเลียนแบบชำวมลำยูออกมำร้องเพลงอ ำนวยพร
มีตัวตลกถือขันน ้ำตำมออกมำให้ผู้แสดงเป็นแขกประพรมน ้ำมนต์ เพื่อเป็นสิริมงคล ส่วนที่เป็นชุดออกภำษำ
กลำยเป็นละครเต็มรูปแบบ ซึ่งวงร ำมะนำยังคงใช้บรรเลงตอนออกแขก แต่ใช้ปี่พำทย์บรรเลงในช่วงละคร
เครื่องแต่งกำยหรูหรำเลียนแบบข้ำรำชส ำนัก ในสมัยรัชกำลที่ ๕ จึงเรียกว่ำ ลิเกทรงเครื่อง
ลิเกทรงเครื่องแสดงในโรง (วิก) และเก็บค่ำเข้ำชม เกิดขึ้นโดยคณะของพระยำเพชรปำณี
ข้ำรำชกำรกระทรวงวัง ซึ่งน ำแสดงโดยภรรยำ ของตน วิกพระยำเพชรปำณีตั้งอยู่นอกก ำแพง เมือง
หน้ำวัดรำชนัดดำรำม ประมำณ พ.ศ. ๒๔๔๐ ลิเกทรงเครื่องแพร่หลำยไปทั่วภำคกลำงอย่ำงรวดเร็ว
มีวิกลิเกเกิดขึ้นมำกมำย ต่อมำมีกำรน ำเนื้อเรื่องและขนบธรรมเนียมของละครร ำมำใช้
จนถึงขั้นแสดงเรื่องอิเหนำ ตำมบทพระรำชนิพนธ์ เมื่อเกิดสงครำมโลกครั้งที่ ๒ ขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๘๔
ลิเกทรงเครื่อง ก็ประสบปัญหำกำรขำดแคลนวัสดุเครื่องแต่งกำยซึ่งต้องน ำเข้ำจำกต่ำงประเทศ เช่น

ผ้ำและเพชรเทียม จนในที่สุดกำรแต่งกำยชุดลิเกทรงเครื่องก็หมดไป
วงร ำมะนำที่ใช้กับกำรออกแขกก็เปลี่ยนไปใช้วงปี่พำทย์แทนเพื่อเป็นกำรประหยัด เพลงรำนิเกลิงหรือเพลงลิเก
เกิดขึ้นโดย นำยดอกดิน เสือสง่ำ ในยุคลิเกทรงเครื่องนี้เอง และต่อมำ นำยหอมหวล นำคศิริ
ได้น ำเพลงรำนิเกลิงไปร้องด้นกลอนสดอย่ำงยำวหลำยค ำกลอน ท ำให้มีชื่อเสียงและมีลูกศิษย์มำกมำย
ช่วงปลำยยุคนี้เริ่มมีกำรออกอำกำศลิเกทำงวิทยุ


ยุคลิเกลูกบท
อยู่ในช่วงสงครำมโลกครั้งที่ ๒ จนถึงช่วงภำยหลังสงครำม รวมเวลำนำนประมำณ ๑๐ ปี
ลิเกในยุคนี้แต่งกำยแบบสำมัญคือ เสื้อคอกลมแขนสั้น โจงกระเบน มีผ้ำคำดพุง
คล้ำยเครื่องแต่งกำยของล ำตัดในปัจจุบัน ทั้งนี้เพรำะเป็นช่วงที่อยู่ในสภำวะขำดแคลน
แต่กำรแสดงลิเกก็ยังเป็นที่นิยมกันอย่ำงกว้ำงขวำง เนื้อเรื่องที่แสดงเปลี่ยนไปเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นใหม่
ซึ่งอำศัยพื้นฐำนของบทละครนอก และละครพันทำงอยู่มำก

ยุคลิเกเพชร
หลังสงครำมโลกครั้งที่ ๒ เมื่อบ้ำนเมืองเข้ำสู่ภำวะปกติ
ก็มีกำรตกแต่งเครื่องแต่งกำยลิเกตัวพระให้หรูหรำอีกครั้ง แต่มิได้กลับไปใช้รูปแบบลิเกทรงเครื่อง
เริ่มต้นด้วยกำรสวมเสื้อกั๊กปักเพชรทับเสื้อคอกลม สวมสนับเพลำ แล้วนุ่งผ้ำโจงทับอย่ำงตัวพระของละครร ำ
สวมถุงน่องสีขำวเหมือนลิเกทรงเครื่อง
เอำแถบเพชรหรือ “เพชรหลำ” มำท ำสังเวียนคำดศีรษะประดับขนนกสีขำวของลิเกทรงเครื่อง คำดสะเอวเพชร
แถบเชิงสนับเพลำเพชร ฯลฯ มำเป็นล ำดับ ส่วนผ้ำนุ่งใช้ผ้ำไหมที่น ำเข้ำมำ จำกเมืองจีน
เพรำะเนื้อแข็งนุ่งแล้วอยู่ทรงไม่ยับ ส ำหรับชุดลิเกตัวนำงไม่ค่อยมีแบบแผน ส่วนใหญ่เป็นชุดรำตรียำวสมัยนิยม
มีเครื่องประดับ เช่น มงกุฎ สำยสร้อย ก ำไล ฯลฯ แต่ไม่หรูหรำเท่ำตัวพระ
กำรแสดงลิเกยุคนี้มีควำมหลำกหลำย เพรำะพยำยำมน ำกำรแสดงประเภทอื่นๆเข้ำมำเสริม
เพื่อให้กำรแสดงเป็นที่นิยมอยู่เสมอ เช่น เพลงลูกทุ่งยอดนิยม เพลงจำกภำพยนตร์อินเดีย กำรเต้นอะโกโก้
กำรน ำม้ำขึ้นมำขี่รบกันบนเวที กำรท ำฉำกสำมมิติให้ดูสมจริง เป็นต้น
ลิเกได้มีกำรแพร่ภำพทำงโทรทัศน์เป็นประจ ำ หนังสือพิมพ์ให้ควำมสนใจเสนอข่ำวเรื่องลิเก
โรงละครแห่งชำติให้กำรยอมรับและจัดให้มีกำรแสดงลิเกขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกำยน พ.ศ.
๒๕๑๘ โดยคณะลิเกของนำยสมศักดิ์ ภักดี ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่เริ่มขยำยหน้ำเวทีให้กว้ำงออกไปกว่ำเดิมเกือบ ๒
เท่ำ

ยุคลิเกลอยฟ้ำ
เป็นยุคที่เวทีลิเกเปลี่ยนจำกรูปแบบเดิม ที่มีเวทีดนตรีอยู่ทำงขวำของผู้แสดง มำเป็นเวทีที่วำงเครื่องดนตรี

อยู่บนยกพื้นหลังเวทีกำรแสดง ให้ผู้ชมได้เห็นวงดนตรีทั้งวง
และได้ขยำยขนำดเวทีกำรแสดงออกไปจำกประมำณ ๖ เมตรเป็น ๑๒ เมตร แต่ไม่มีหลังคำ จึงเรียกว่ำ
ลิเกลอยฟ้ำ เครื่องแต่งกำยตัวพระในยุคนี้เพิ่มเครื่องเพชรมำกขึ้นคือ มีแผงประดับศีรษะเพชรแทนขนนก
เสื้อรัดรูปปักเพชรที่เกิดขึ้นในปลำยยุคลิเกเพชร ก็เพิ่มจ ำนวนเพชรจนเต็มไปทั้งตัว
ผ้ำนุ่งกลำยเป็นแบบส ำเร็จรูป ปักเพชรทั้งผืน ส่วนเครื่องประดับต่ำงๆ ก็เพิ่มจ ำนวนเพชรขึ้นมำกกว่ำแต่ก่อน
ประมำณ พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นต้นมำ เริ่มมีกำรน ำเรื่องผู้ชนะสิบทิศ บทละครพันทำงของอำจำรย์เสรี
หวังในธรรม ซึ่งเป็นที่นิยมกันมำกในขณะนั้น มำแสดงเป็นลิเก
และแต่งตัวแบบละครพันทำงลิเกเป็นกำรแสดง เพื่อเลี้ยงชีพ ผู้ชมชอบอย่ำงไร ก็แสดงอย่ำงนั้น
ดังนั้นรูปแบบกำรแสดงลิเกในแต่ละยุค จึงมีกำรปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลำ สิ่งที่คงอยู่คือ
ปฏิภำณศิลป์ที่ท ำให้ลิเกยังคงมีควำมแปลกใหม่ ส ำหรับให้ควำมบันเทิงแก่คนในสังคมไทยตลอดไป

ลิเก มีลักษณะเด่นคือ เครื่องแต่งกำยของพระเอกประดับเพชรจ ำนวนมำก
มีขนนกสีขำวขนำดใหญ่ประดับศีรษะ สวมถุงน่องสีขำว และมีเพลง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพำะของลิเกคือ
เพลงรำชนิเกลิง (รำด-นิ-เกลิง) ที่ใช้ร้องด ำเนินเรื่องตลอดเวลำ นอกจำกนี้ เมื่อผู้ชมพอใจกำรแสดง
ก็ลุกจำกที่นั่งมำที่หน้ำเวที เพื่อมอบรำงวัลเป็นธนบัตร หรือพวงมำลัยติดธนบัตรแก่ตัวลิเก ซึ่งมักเป็นพระเอก
ผู้ชมส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง มักชอบดูพระเอกที่หน้ำตำดี รูปร่ำงอ้อนแอ้น ร้องเพลงได้ไพเรำะ ด้นกลอนเก่ง
ร ำสวย เครื่องแต่งกำยงดงำม ส่วนฉำก ที่ชอบดูคือ ฉำกตลก

"ลิเก" เป็นละครผสมระหว่ำงกำรพูด กำรร้อง กำรร ำ และกำรแสดงกิริยำท่ำทำงตำมธรรมชำติ
โดยมีวงปี่พำทย์บรรเลงประกอบ ท ำนองเพลงหลักที่ใช้ส ำหรับร้องด ำเนินเรื่อง เรียกว่ำ รำนิเกลิง (รำ-นิ-เกลิง)
หรือ รำชนิเกลิง (รำด-นิ-เกลิง) ส่วนอื่นๆ ที่ใช้ส ำหรับร้องร ำ และประกอบกิริยำ น ำมำจำกเพลงของละครร ำ
และเพลงลูกทุ่ง ซึ่งก ำลังเป็นที่นิยมในขณะนั้น ผู้แสดงรับบทชำยจริงหญิงแท้ มีบทพูด
และบทร้องตำมท้องเรื่อง ที่โต้โผก ำหนดให้ก่อนกำรแสดง บำงครั้งมีกำรบรรยำยเรื่อง
และตัวละครจำกหลังเวที เพื่อให้ผู้ชมเข้ำใจง่ำยขึ้น เนื้อเรื่องมักเป็นกำรชิงรักหักสวำท
และอำฆำตล้ำงแค้นย้อนไปในอดีต หรือในปัจจุบัน


โครงเรื่องมักซ ้ำกัน จะต่ำงกันที่รำยละเอียด กำรแสดงลิเกแบ่งเป็น ๓ ส่วน คือ โหมโรงดนตรี เพื่อเรียกผู้ชม
และให้ผู้แสดงเตรียมพร้อม ออกแขก เพื่อต้อนรับผู้ชม ขอบคุณเจ้ำภำพ แนะน ำกำรแสดง และผู้แสดง
และละครที่ด ำเนินเรื่องเป็นฉำกสั้นๆ ติดต่อกันไปอย่ำงรวดเร็ว ลิเกมีแสดง ทั้งในเวลำกลำงวัน และกลำงคืน
ช่วงกลำงวันเริ่มแสดงตั้งแต่ ๐๙.๐๐ น. เป็นต้นไป และหยุดพักเที่ยง แล้วแสดงต่อ จนถึงเวลำประมำณ ๑๖.๐๐
น. ส่วนช่วงกลำงคืน เริ่มแสดงตั้งแต่ ๒๐.๐๐ น. - ๒๔.๐๐ น.

ขั้นตอนกำรแสดงลิเก

โหมโรง

เป็นกำรบูชำเทพยดำ และครูบำอำจำรย์ พร้อมทั้งอัญเชิญท่ำนเหล่ำนั้น
มำปกปักรักษำ และอ ำนวยควำมส ำเร็จให้แก่กำรแสดง นอกจำกนั้น ยังเป็นกำรอุ่นโรง
ให้ผู้แสดงเตรียมตัวให้พร้อม เพรำะใกล้จะถึงเวลำแสดง
และเป็นสัญญำณแจ้งแก่ประชำชนที่อยู่ทั้งใกล้และไกล ให้ได้ทรำบว่ำ จะมีกำรแสดงลิเก
และใกล้เวลำลงโรงแล้ว จะได้ชักชวนกันมำชม

โหมโรงเป็นกำรบรรเลงปี่พำทย์ตำมธรรมเนียมกำรแสดงละครของไทย เพลงที่บรรเลงเรียกว่ำ โหมโรงเย็น
ประกอบด้วย เพลงชั้นสูง หรือเพลงหน้ำพำทย์ ๑๓ เพลง บรรเลงตำมล ำดับคือ สำธุกำร ตระนิมิตร รักสำมลำ
ต้นเข้ำม่ำน ปฐม ลำ เสมอ เชิดฉิ่ง เชิดกลอง ช ำนำญ กรำวใน และวำ ถ้ำโหมโรงมีเวลำน้อย ก็ตัดเพลงลงเหลือ
๔ เพลงคือ สำธุกำร ตระนิมิตร กรำวใน และวำ
แต่ถ้ำมีเวลำมำกก็บรรเลงเพลงเบ็ดเตล็ดแทรกต่อจำกเพลงกรำวใน
แล้วจึงบรรเลงเพลงวำเป็นสัญญำณจบกำรโหมโรง
ออกแขก

เป็นกำรค ำนับครู อวยพรผู้ชม ขอบคุณเจ้ำภำพ แนะน ำเรื่อง อวดผู้แสดง ฝีมือกำรร้องร ำ
และควำมหรูหรำของเครื่องแต่งกำย เพื่อให้ผู้ชมสนใจ และเตรียมพร้อมที่จะชมต่อไป
ออกแขกเป็นกำรเบิกโรงลิเก โดยเฉพำะกำรออกแขกมี ๔ ประเภทคือ ออกแขกรดน ้ำมนต์ ออกแขกหลังโรง
ออกแขกร ำเบิกโรง และออกแขกอวดตัว
ออกแขกรดน ้ำมนต์

โต้โผ คือ หัวหน้ำคณะ หรือผู้แสดงอำวุโสชำย แต่งกำยแบบแขกมลำยูบ้ำง ฮินดูบ้ำง
มีผู้ช่วยเป็นตัวตลกถือขันน ้ำตำมออกมำ แขกร้องเพลงออกแขกชื่อว่ำ เพลงซัมเซ เลียนเสียงภำษำมลำยู
จบแล้วกล่ำวสวัสดี และทักทำยกันเอง ออกมุขตลกต่ำงๆ เล่ำเรื่องที่จะแสดงให้ผู้ชมทรำบ
จบลงด้วยแขกประพรมน ้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กำรแสดง และเป็นกำรอวยพรผู้ชม
กำรออกแขกรดน ้ำมนต์ไม่ค่อยมีแสดงในปัจจุบัน

ออกแขกหลังโรง

โต้โผ หรือผู้แสดงชำย ที่แต่งตัวเสร็จแล้ว ช่วยกันร้องเพลงซัมเซอยู่หลังฉำก หรือหลังโรง
แล้วจึงต่อด้วยเพลงประจ ำคณะ ที่มีเนื้อเพลงอวดอ้ำงคุณสมบัติต่ำงๆ ของคณะ จำกนั้นเป็นกำรประกำศชื่อ

และอวดควำมสำมำรถของศิลปินที่มำร่วมแสดง ประกำศชื่อเรื่องและเนื้อเรื่องย่อที่จะแสดง
แล้วลงท้ำยด้วยเพลงซัมเซอวยพรผู้ชม

ออกแขกร ำเบิกโรง

คล้ำยออกแขกหลังโรง โดยมีกำรร ำเบิกโรงแทรก ๑ ชุด ก่อนลงท้ำยด้วยเพลงซัมเซอวยพรผู้ชม
ร ำเบิกโรงนี้มักแสดงโดยลูกหลำนของผู้แสดง ที่มีอำยุน้อยๆ เป็นกำรฝึกเด็กๆให้เจนเวที เป็นกำรร ำชุดสั้นๆ
ส ำหรับร ำเดี่ยว เช่น พม่ำร ำขวำน พลำยชุมพล มโนห์รำบูชำยัญ หรือชุดที่คิดขึ้นเอง เช่น ชุดแขกอินเดีย
ในกรณีที่เป็นกำรแสดง เพื่อแก้บน ร ำเบิกโรงจะเป็นร ำเพลงช้ำ เพลงเร็ว โดยผู้แสดงชำย - หญิง ๒ คู่
ตำมธรรมเนียมของกำรร ำแก้บนละคร ซึ่งเรียกว่ำ ร ำถวำยมือ เมื่อจบร ำเบิกโรงแล้ว
ข้ำงหลังโรงจะร้องเพลงซัมเซอวยพรผู้ชม

ออกแขกอวดตัว

คล้ำยออกแขกร ำเบิกโรง แต่เปลี่ยนจำกร ำเดี่ยว หรือร ำถวำยมือ มำเป็นกำรอวดตัวแสดงทั้งโรง
ผู้แสดงทุกคนจะแต่งเครื่องลิเก น ำโดยโต้โผ หรือพระเอกอำวุโส ร้องเพลงประจ ำคณะ
ต่อด้วยกำรแนะน ำผู้แสดงเป็นรำยตัว จำกนั้นผู้แสดงออกมำร ำเดี่ยว หรือร ำหมู่ หรือร ำพร้อมกันทั้งหมด
คนที่ไม่ได้ร ำก็ยืนรอ เมื่อร ำเสร็จแล้วก็ร้องเพลงซัมเซอวยพรผู้ชม แล้วทยอยกันกลับเข้ำไป
ละคร

เป็นกำรแสดงลิเกเรื่องรำว ที่โต้โผ ซึ่งเป็นผู้เล่ำเรื่องก ำหนดขึ้น ก่อนกำรแสดงเพียงเล็กน้อย แล้วเล่ำเรื่อง
พร้อมทั้งแจกแจงบทบำทด้วยปำกเปล่ำ ให้ผู้แสดงแต่ละคนฟัง ที่หลังโรง ในขณะก ำลังแต่งหน้ำ
หรือแต่งตัวกันอยู่ โดยจะเริ่มต้นแสดงหลังจำกจบออกแขกแล้ว
โต้โผจะคอยก ำกับอยู่ข้ำงเวทีจนกว่ำเรื่องจะด ำเนินไปด้วยควำมเรียบร้อย ในกรณีที่เกิดปัญหำ เช่น
กำรแสดงเชื่องช้ำ ตลกฝืด ตัวแสดงบำดเจ็บ โต้โผก็จะพลิกแพลงให้เรื่องด ำเนินต่อไปได้อย่ำงรำบรื่น
ผู้แสดงทุกคนต้องรู้บท รู้หน้ำที่ และด้นบทร้องบทเจรจำของตนให้เป็นไปตำมแนวเรื่องของโต้โผได้ตลอดเวลำ
ลำโรง

เป็นธรรมเนียมกำรแสดงละครไทยที่มีกำรบรรเลงปี่พำทย์ลำโรง ผู้แสดงกรำบอ ำลำผู้ชม
โต้โผกล่ำวขอบคุณผู้ชม และเชิญชวนให้ติดตำมชมกำรแสดงคณะของตนในโอกำสต่อไป
ลิเกเริ่มกำรแสดงเป็นละคร ด้วยฉำกตัวพระเอก แต่ในระยะหลังๆ นี้ มักเปิดกำรแสดง ด้วยฉำกตัวโกง
เพื่อให้กำรด ำเนินเรื่องรวบรัด และฉำกตัวโกง ก็อึกทึกครึกโครม ท ำให้ผู้ชมตื่นเต้น และติดตำมชมกำรแสดง
กำรด ำเนินเรื่องแบ่งออกเป็นฉำกสั้นๆ ติดต่อกันไปอย่ำงรวดเร็ว ยิ่งดึกยิ่งใกล้จะจบ กำรแสดงก็ยิ่งคึกคัก ตื่นเต้น

โลดโผน ตลกโปกฮำ จนถึงมีฉำกตลกเป็นฉำกใหญ่ให้ผู้ชม ครื้นเครง แล้วรีบรวบรัดจบเรื่อง
ซึ่งบำงครั้งก็ไม่จบบริบูรณ์ แต่ผู้ชมก็ไม่ติดใจสงสัย

กำรแสดงในฉำกแรกๆ เป็นกำรเปิดตัวละครส ำคัญในท้องเรื่อง ผู้แสดงจะส่งสัญญำณให้นักดนตรีบรรเลงเพลง
ส ำหรับร ำออกจำกหลังเวที เช่น เพลงเสมอ หรือเพลงมะลิซ้อน เมื่อร ำถวำยมำถึงหน้ำตั่งหรือเตียง
ที่วำงอยู่กลำงเวทีก็นั่งลง หรือท ำท่ำถวำยมือยกเท้ำจะขึ้นไปนั่ง แต่กลับยืนอยู่หน้ำเตียง
แล้วร้องเพลงแนะน ำตัวเอง และตัวละครที่สวมบทบำท พร้อมทั้งร้องเพลงขอบคุณผู้ชมและออดอ้อนแม่ยก
เพลงที่ร้องเป็นเพลงไทยอัตรำสองชั้นด้นเนื้อร้องเอำเอง จำกนั้นเป็นกำรร้องเพลงลูกทุ่งยอดนิยมอีก ๑ เพลง
แล้วจึงด ำเนินเรื่องร้องร ำ และเจรจำ ด้วยกำรด้นตลอดไปจนจบฉำก เพลงที่ใช้ร้องด้นด ำเนินเรื่องเรียกว่ำ
เพลงลิเก ที่มีชื่อว่ำ เพลงรำนิเกลิง หรือ รำชนิเกลิง เมื่อตัวแสดงหมดบทในกำรออกมำครั้งแรกแล้ว
ก็ลำโรงด้วยกำรร้องเพลงแจ้งให้ผู้ชมทรำบว่ำ ตนคิดอะไรและจะเดินทำงไปไหน
จำกนั้นปี่พำทย์ท ำเพลงเสมอให้ผู้แสดงร ำออกไป

กำรแสดงในฉำกต่อๆ มำ ผู้แสดงมักเดินกรำยท่ำออกมำ ผู้แสดงบนเวที หรือผู้บรรยำยหลังโรงจะแจ้งสถำนที่
และสถำนกำรณ์ในท้องเรื่องให้ผู้ชมทรำบ แล้วจึงด ำเนินเรื่องไปจนจบฉำกอย่ำงรวดเร็ว
เมื่อผู้แสดงหมดบทบำทของตนเองแล้ว ก็จะร้องเพลงด้วยเนื้อควำมสั้นๆ แล้วกลับออกไปด้วยเพลงเชิด
ซึ่งใช้ส ำหรับกำรเดินทำงที่รวดเร็ว

กำรแสดงในฉำกตลกใหญ่ ซึ่งเป็นฉำกส ำคัญที่ผู้ชมชื่นชอบนั้น ผู้แสดงจะเวียนกันออกมำแสดงมุขตลกต่ำงๆ
โดยมีตัวตลกตำมพระ คือผู้ติดตำมพระเอก กับตัวโกงเป็นผู้แสดงส ำคัญในฉำกนี้
เนื้อหำมักเป็นกำรที่ตัวตลกตำมพระ หำมุขตลกมำลงโทษตัวโกง ท ำให้คนดูสะใจ และพึงพอใจ
ที่คนไม่ดีได้รับโทษ ตำมหลักค ำสอนของศำสนำ ที่ว่ำ ท ำดีได้ดี ท ำชั่วได้ชั่ว

กำรแสดงในฉำกจบ มักเป็นฉำกที่ตัวโกงพ่ำยแพ้แก่พระเอก ผู้แสดงเกือบทั้งหมดออกมำไล่ล่ำกัน ประฝีปำก
และฝีมือกัน โดยในตอนสุดท้ำย พระเอกเป็นฝ่ำยชนะ ส่วนตัวโกงพ่ำยแพ้ และได้รับบำดเจ็บสำหัส ต้องหนีไป
หรือยอมจ ำนนอยู่ ณ ที่นั้น กำรแสดงก็จบลง โดยไม่มีกำรตำยบนเวที เพรำะถือว่ำ เป็นเรื่องอัปมงคล
ผู้แสดงมักท ำท่ำนิ่ง เพื่อแสดงให้ทรำบว่ำ กำรแสดงจบลงแล้ว

ส่วนประกอบที่ส ำคัญของกำรแสดงลิเก

กำรด้น

ลิเกเป็นกำรแสดงละครที่อำศัยกำรด้นเป็นปัจจัยหลัก กำรด้น หมำยถึง

กำรผูกเรื่องที่จะแสดงบทเจรจำ และบทร้อง ท่ำร ำ อุปกรณ์กำรแสดง ในทันทีทันใดโดยมิได้เตรียมตัวมำก่อน
แต่ทั้งนี้โต้โผ และผู้แสดงมีประสบกำรณ์ที่สั่งสมมำก่อนแล้ว ดังนั้น กำรด้นจึงมักเป็นกำรน ำเรื่อง ค ำกลอน
กระบวนร ำ ที่อยู่ในควำมทรงจ ำกลับมำใช้ในโอกำสที่เหมำะสม
น้อยครั้งที่โต้โผต้องด้นเรื่องใหม่ทั้งหมดหรือผู้แสดงต้องด้นกลอนร้องใหม่ทั้งเพลง

กำรด้นเรื่อง

โต้โผหรือหัวหน้ำคณะจะแต่งโครงเรื่องส ำหรับกำรแสดงครั้งนั้น
โดยพิจำรณำจำกจ ำนวนผู้แสดงที่มำร่วมกันแสดง ตลอดจนควำมช ำนำญเฉพำะบทของผู้แสดงแต่ละคน
เรื่องที่แต่ง ก็น ำมำจำกเค้ำโครงเรื่องเดิมๆ ที่เคยใช้แสดง แต่ได้ดัดแปลงให้เหมำะกับกำรแสดงในครั้งนั้นๆ
ผู้แสดงมีจ ำนวนประมำณ ๗ - ๑๕ คน ทั้งนี้ขึ้นกับว่ำ ผู้ว่ำจ้ำงต้องกำรลิเกโรงเล็ก หรือโรงใหญ่
ส ำหรับลิเกโรงเล็กมีผู้แสดงน้อย เนื้อเรื่องจึงมักเน้นพระเอกนำงเอกเพียงคู่เดียว ส่วนลิเกโรงใหญ่มีผู้แสดงมำก
จึงมักสร้ำงตัวละคร ตั้งแต่รุ่นพ่อ ต่อมำถึงรุ่นลูก หรือเป็นเรื่องที่มีพระเอกนำงเอก ๒ คู่

กำรด้นบทร้องบทเจรจำ

ผู้แสดงจะแต่งบทเจรจำ และบทร้องตลอดกำรแสดงลิเก ส ำหรับบทเจรจำนั้น ผู้แสดงสำมำรถด้นสดได้ทั้งหมด
เพรำะเป็นภำษำพูด ที่เข้ำใจง่ำย ไม่มีใจควำมที่ลึกซึ้ง ส่วนบทร้องมีเพลง และรูปแบบค ำกลอนของเพลงไทย
และเพลงรำชนิเกลิงก ำกับ ประกอบด้วยค ำร้องซึ่งเป็นเนื้อร้องตอนต้นที่มีหลำยค ำกลอน
และค ำลงซึ่งเป็นเนื้อร้องตอนจบที่มีเพียง ๑ค ำกลอน กำรด้นบทร้องมีศิลปะ ๓ ระดับ ระดับสูงคือ ด้นค ำร้อง
และค ำลง ขึ้นใหม่หมดทั้งเพลง ระดับกลำงคือ ด้นค ำร้อง ให้มำสัมผัสกับกลอนของค ำลง ที่ตนจ ำมำใช้
ระดับล่ำงคือ ด้นค ำร้องและค ำลงที่ลักจ ำมำ หรือจ้ำงคนเขียนให้มำใช้ทั้งเพลง

กำรด้นท่ำร ำ

ลิเกจะเน้นกำรร้องทั้งบทกลอน และน ้ำเสียง ส่วนกำรร ำเป็นเพียงส่วนประกอบ ดังนั้น
ผู้แสดงจึงไม่เคร่งครัดในกำรร ำให้ถูกต้อง ทั้งๆ ที่น ำแบบแผนมำจำกละครร ำ
กำรร ำของลิเก จึงเป็นกำรย่ำงกรำยของแขนและขำ ส่วนกำรใช้มือท ำท่ำทำงประกอบค ำร้องที่เรียกว่ำ
ร ำตีบทนั้น ตำมธรรมเนียมของละครร ำ มีเพียงไม่กี่ท่ำ นอกเหนือจำกนั้น
ผู้แสดงจะร ำกรีดกรำยไปตำมที่เห็นงำม
กำรด้นท่ำร ำอีกลักษณะหนึ่งเป็นกำรร ำแสดงควำมสำมำรถเฉพำะตัวของผู้แสดงบำงคนในท่ำร ำชุดที่กรมศิลปำก
รได้สร้ำงสรรค์เป็นมำตรฐำนเอำไว้แล้ว แต่ผู้แสดงลิเกลักจ ำมำได้ไม่หมด ก็ด้นท่ำร ำของดั้งเดิมให้เต็มเพลง

กำรด้นท ำอุปกรณ์กำรแสดง

กำรแสดงลิเกมีกำรสมมติในท้องเรื่องมำกมำย
และไม่มีกำรเตรียมอุปกรณ์กำรแสดงไว้ให้ดูสมจริง นอกจำกดำบ ดังนั้น
ผู้แสดงจ ำเป็นต้องหำวัสดุใกล้มือขณะนั้น มำท ำเป็นอุปกรณ์ที่ตนต้องกำรใช้ เช่น
เอำผ้ำขนหนูมำม้วนเป็นตุ๊กตำแทนทำรก เอำผ้ำขำวม้ำมำคลุมตัวเป็นผี เอำดำบผูกกับฝำหม้อข้ำวเป็นพัดวิเศษ
เอำผ้ำขำวม้ำผูกเป็นหัวปล่อยชำย แล้วขี่คร่อมเป็นม้ำวิเศษ
กำรคิดท ำอุปกรณ์กำรแสดงอย่ำงกะทันหันเช่นนี้มุ่งให้ควำมขบขันเป็นส ำคัญ และผู้ชมก็ชอบมำก
กำรร้องกำรเจรจำ

กำรร้อง และกำรเจรจำของลิเก มีลักษณะเฉพำะ ผู้แสดงจะเปล่งเสียงร้อง และเสียงเจรจำเต็มที่
แม้จะมีไมโครโฟนช่วย จึงท ำให้เสียงร้อง และเจรจำค่อนข้ำงแหลม นอกจำกนั้นยังเน้นเสียง ที่ขึ้นนำสิกคือ
มีกระแสเสียงกระทบโพรงจมูก เพื่อให้มีเสียงหวำน กำรร้องเพลงสองชั้น และเพลงรำชนิเกลิงนั้น
ผู้แสดงให้ควำมส ำคัญที่กำรเอื้อนและลูกคอมำก ในกำรร้องเพลงสองชั้น ผู้แสดงร้องค ำหนึ่ง
ปี่พำทย์บรรเลงรับท่อนหนึ่ง เพื่อให้ผู้แสดงพักเสียงและคิดกลอน ส่วนกำรเจรจำนั้น
ผู้แสดงพูดลำกเสียงหรือเน้นค ำมำกกว่ำกำรพูดธรรมดำ เพื่อให้ได้ยินชัดเจน อนึ่ง
ค ำที่สะกดด้วย “น” ผู้แสดงลิเกจะออกเสียงเป็น “ล” นับเป็นลักษณะของลิเกอีกอย่ำงหนึ่ง นอกจำกนี้
ลิเกนิยมแสดงเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ ที่มีกษัตริย์เป็นตัวเอก แต่ผู้แสดงมักใช้ค ำรำชำศัพท์ที่ไม่ถูกต้อง ด้วยสำเหตุ ๒
ประกำรคือ ควำมไม่รู้ และควำมตั้งใจให้ตลกขบขัน
กำรร ำ

กำรแสดงลิเกใช้กระบวนร ำ และท่ำร ำตำมแบบแผนนำฏศิลป์ไทย โดยแบ่งเป็น ๓ ประเภทคือ ร ำเพลง
ร ำใช้บท หรือร ำตีบท และร ำชุด

ร ำเพลง

คือ กำรร ำในเพลงที่มีก ำหนดท่ำร ำไว้ชัดเจน เช่น เพลงช้ำ - เพลงเร็ว เพลงเสมอ ผู้แสดงพยำยำมร ำเพลงเหล่ำนี้
ให้มีท่ำร ำ และกระบวนร ำ ใกล้เคียงกับแบบฉบับมำตรฐำนให้มำกที่สุด

ร ำใช้บทหรือร ำตีบท

คือ กำรร ำท ำท่ำประกอบค ำร้อง และค ำเจรจำ เป็นท่ำที่น ำมำจำกละครร ำ และเป็นท่ำง่ำยๆ มีประมำณ ๑๓ ท่ำ
คือ ท่ำรัก ท่ำโศก ท่ำโอด ท่ำชี้ ท่ำฟำดนิ้ว ท่ำมำ ท่ำไป ท่ำตำย ท่ำคู่ครอง ท่ำช่วยเหลือ ท่ำเคือง ท่ำโกรธ

และท่ำป้อง ซึ่งเป็นท่ำให้สัญญำณปี่พำทย์หยุดบรรเลง

ร ำชุด คือ

กำรร ำที่ผู้แสดงลิเกลักจ ำมำจำกท่ำร ำชุดต่ำงๆ ของกรมศิลปำกร เช่น มโนห์รำบูชำยัญ ซัดชำตรี
และพลำยชุมพล แต่ผู้แสดงจ ำได้ไม่หมด จึงแต่งเติมจนกลำยไปจำกเดิมมำก
ท่ำร ำบำงชุดเป็นท่ำร ำที่ลิเกคิดขึ้นเองมำแต่เดิม เช่น พม่ำร ำขวำน และขี่ม้ำร ำทวน
จึงมีท่ำร ำต่ำงไปจำกของกรมศิลปำกรโดยสิ้นเชิง กำรร ำของลิเกต่ำงกับละคร กล่ำวคือ ละครร ำเป็นท่ำ
แต่ลิเกร ำเป็นที ซึ่งหมำยควำมว่ำ กำรร ำละครนั้น ผู้ร ำจะร ำเต็มตั้งแต่ท่ำเริ่มต้นจนจบกระบวนท่ำโดยสมบูรณ์
แต่กำรร ำลิเกนั้น ผู้แสดงจะร ำเลียนแบบท่ำของละคร แต่ไม่ร ำเต็มกระบวนร ำมำตรฐำน เช่น
ตัดทอนหรือลดท่ำร ำบำงท่ำ ร ำให้เร็วขึ้น ลดควำมกรีดกรำย ในขณะเดียวกันผู้แสดงลิเกตัวพระนิยมยกขำสูง
และย่อเข่ำต ่ำกว่ำท่ำของละครร ำ อีกทั้งนิยมเอียงล ำตัว และเอนไหล่ให้ดูอ่อนช้อยกว่ำละคร

ผู้แสดงลิเกแบ่งหน้ำที่ตำมเพศ รูปร่ำง และควำมช ำนำญออกเป็น พระเอก พระรอง นำงเอก นำงรอง ตัวโกง
ตัวตลก และนำงอิจฉำ
คณะลิเกเป็นกำรรวมตัวเฉพำะงำน โต้โผ หรือหัวหน้ำคณะจ้ำงผู้แสดงอิสระ ที่ต่ำงมีเครื่องแต่งกำยของตนเอง
มำร่วมกันแสดงเป็นครำวๆ ไป ผู้ชมลิเกส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มที่มีสถำนภำพทำงสังคม เศรษฐกิจ
และกำรศึกษำน้อย และมักเป็นสตรีวัยกลำงคน กำรให้รำงวัลแก่ผู้แสดงลิเกคือ
กำรมอบพวงมำลัยคล้องคอประดับธนบัตร
ส ำหรับผู้ชมสตรีจ ำนวนหนึ่งที่มีควำมนิยมผู้แสดงชำยบำงคนเป็นพิเศษ โดยติดตำมไปชมกำรแสดงเป็นประจ ำ
และให้รำงวัลเป็นเงินทองจ ำนวนมำกอยู่เสมอ ผู้ชมกลุ่มนี้เรียกว่ำ แม่ยก คือ แม่ที่ลิเกยกย่อง


กำรแต่งกำย

เครื่องแต่งกำยของลิเกมีลักษณะเฉพำะ ซึ่งต่ำงไปจำกละครร ำ
เครื่องแต่งกำยของผู้แสดงชำยมีแบบแผนที่ชัดเจนกว่ำผู้แสดงหญิง เครื่องแต่งกำยของลิเกแบ่งได้เป็น ๓
ประเภท คือ ชุดลิเกทรงเครื่อง ชุดลิเกลูกบท และชุดลิเกเพชร

ชุดลิเกทรงเครื่อง

เป็นรูปแบบกำรแต่งกำยของลิเกแบบเดิม เมื่อเริ่มมีลิเกในสมัยรัชกำลที่ ๕
โดยเลียนแบบกำรแต่งกำยของข้ำรำชส ำนักในยุคนั้น และมีกำรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงต่อมำบ้ำง

จนถึงก่อนสงครำมโลกครั้งที่ ๒ เมื่อวัสดุที่ใช้สร้ำงเครื่องแต่งกำยลิเกที่ต้องน ำเข้ำมำจำกต่ำงประเทศขำดแคลน
ชุดลิเกทรงเครื่องก็หมดไป คงเหลือให้เห็นเฉพำะในกำรแสดงสำธิตเท่ำนั้น

ชุดลิเกลูกบท

เป็นชุดเครื่องแต่งกำยล ำลองของคนไทยในสมัยก่อนสงครำมโลกครั้งที่ ๒ นิยมแต่งในกำรแสดงเพลงพื้นบ้ำน
เมื่อวัสดุที่ใช้สร้ำงชุดลิเกทรงเครื่องขำดแคลน ผู้แสดงจึงหันมำแต่งกำยแบบล ำลองที่เรียกว่ำ ชุดลิเกลูกบท

ชุดลิเกเพชร

เป็นชุดที่เกิดขึ้นหลังสงครำมโลกครั้งที่ ๒ โดยกำรน ำเพชรซีก และแถบเพชร
มำประดับเครื่องแต่งกำยชุดลิเกลูกบท สวมเสื้อกั๊กทับเสื้อตัวเดิมให้ดูหรูหรำขึ้น จำกนั้นก็เพิ่มควำมวิจิตรขึ้น
จนกลำยเป็นเครื่องเพชรแทบทั้งชุด ส ำหรับชุดของผู้แสดงหญิงมีแบบหลำกหลำย
แต่ไม่ประดับเพชรมำกเท่ำชุดของผู้แสดงชำย
เครื่องแต่งกำยลิเกชำยเป็นแบบคล้ำยคลึงกัน ประกอบด้วยเสื้อคอกว้ำงแขนสั้น หรือยำวแนบตัว ปักเพชร
สนับเพลำ หรือกำงเกงรัดขำยำวครึ่งน่องเชิงปักเพชร ผ้ำนุ่งส ำเร็จรูปปักเพชรสวมทับกำงเกง ถุงน่องสีขำว
เครื่องประดับท ำด้วยเพชรเทียม ประกอบด้วยเกี้ยว ปิ่น สังเวียน ขนนก ต่ำงหู สร้อยคอ เข็มขัด ก ำไลมือ
ก ำไลเท้ำ แหวน เครื่องแต่งกำยลิเกหญิงมีหลำกหลำยรูปแบบ ทั้งแบบไทยประเพณี และแบบสำกล
ที่เป็นชุดรำตรียำวปักเพชร เครื่องประดับท ำด้วยเพชรเทียม มักประกอบด้วยมงกุฎ สร้อยคอ ตุ้มหู สังวำล
ก ำไลมือ เครื่องแต่งกำยลิเกมักมีสีสันสดใส ใช้แป้งฝุ่นสีขำวผัดหน้ำ และล ำตัวให้ดูผ่อง
แต่งหน้ำทำปำกสีฉูดฉำด เขียนคิ้วเข้ม ติดขนตำปลอมยำว

เวที
เวทีลิเกมี ๒ แบบ คือ เวทีลิเกแบบเดิม และเวทีลิเกลอยฟ้ำ
เวทีลิเก หรือโรงลิเก เป็นเวทีชั่วครำวยกพื้นมีหลังคำ แบ่งพื้นที่เป็น ๓ ส่วน คือ เวทีแสดง เวทีดนตรี
และหลังเวที ส ำหรับผู้แสดงพักผ่อน เวทีแสดงมีระบำยแขวนเป็นกรอบเวที โดยมีชื่อคณะ
และสถำนที่ติดต่ออย่ำงชัดเจน กำรจัดพื้นที่ของเวทีลิเกในปัจจุบันมี ๒ แบบ
แบบเดิมมีเวทีดนตรีอยู่ถัดเวทีแสดงไปทำงขวำของผู้แสดง แบบใหม่มีเวทีดนตรีเป็นยกพื้นอยู่ด้ำนหลังเวทีแสดง
ฉำกลิเกมี ๒ แบบ คือ ฉำกเดี่ยว ท ำด้วยผ้ำใบเขียนเป็นรูปท้องพระโรง พร้อมหลืบผ้ำใบเขียนสีอีก ๑ คู่
กับผ้ำระบำยด้ำนบนเขียนชื่อคณะ และฉำกชุด ท ำด้วยผ้ำใบเขียนสีเป็นสถำนที่ต่ำงๆ ตำมท้องเรื่อง เช่น
ท้องพระโรง ห้องรับแขก ป่ำ ถ ้ำ น ้ำตก แต่ละฉำกม้วนเก็บไว้เหนือเวทีแสดง อุปกรณ์ฉำกเป็นตั่งหรือเตียงไม้
ขนำดพอนั่งแสดงได้ ๓ คน มีตั่งเพียงตัวเดียว ก็ใช้ได้อเนกประสงค์

เวทีลิเกแบบเดิม
เป็นเวทีติดดินหรือยกพื้นเล็กน้อย ท ำด้วยไม้ มีหลังคำที่เป็นทรงหมำแหงน แบ่งพื้นที่เป็น ๓ ส่วนคือ เวทีแสดง
หลังเวทีซึ่งใช้ส ำหรับเตรียมตัวก่อนออกแสดง หรือพักผ่อน และเวทีดนตรี เวทีลิเกมีขนำดมำตรฐำนคือ กว้ำง
๖ เมตร ลึก ๖ - ๘ เมตร มีฉำกผ้ำกั้นกลำงสูง ๓.๕ เมตร หน้ำฉำกเป็นเวทีแสดง หลังฉำกเป็นหลังเวที
ถัดจำกเวทีแสดงไปทำงขวำมือของผู้แสดง เป็นเวทีดนตรี สูงเสมอกัน ขนำดกว้ำง ๓ เมตร ลึก ๔ เมตร
บนเวทีแสดงมีตั่งอเนกประสงค์ตั้งกลำงประชิดกับฉำก

เวทีลิเกลอยฟ้ำ

เป็นเวทีที่พัฒนำขึ้นประมำณ พ.ศ. ๒๕๒๕ โดยขยำยควำมกว้ำงของเวทีแสดงออกไปเป็น ๑๐ - ๑๒ เมตร ลึก
๔ - ๕ เมตร สูง ๑ เมตร เวทีดนตรีอยู่ตรงกลำงระหว่ำงเวทีแสดงกับหลังเวที ยกสูงจำกพื้นเวทีแสดง ๑.๕๐ -
๒.๐๐ เมตร ลึกประมำณ ๒.๕ เมตร มีฉำกไม้อัดเขียนลำยอยู่ด้ำนหลังวงดนตรี หลังเวทีกว้ำง ๑๒ เมตร ลึก ๔
- ๕ เมตร ไม่มีหลังคำ หน้ำเวทีแสดงมีเสำแขวนป้ำยผ้ำบอกชื่อคณะลิเก ยำวตลอดหน้ำกว้ำงของเวที
สองข้ำงเวทีมีหลืบไม้อัด ส ำหรับบังผู้แสดงเข้ำออก ตรงกลำงเวทีแสดงตั้งตั่งอเนกประสงค์

ฉำก
ฉำกลิเกเป็นฉำกผ้ำใบเขียนเป็นภำพต่ำงๆ ด้วยสีที่ฉูดฉำด ฉำกลิเกแบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ ฉำกชุดเดี่ยว
ฉำกชุดใหญ่ และฉำกสำมมิติ

ฉำกชุดเดี่ยว
คือ มีฉำกผ้ำใบ ๑ ชั้น เป็นฉำกหลัง เขียนภำพท้องพระโรงขนำด ๓.๕ x ๕ เมตร และ/หรือผ้ำใบ ๒ ผืน
อยู่ทำงด้ำนซ้ำย - ขวำของเวที เขียนเป็นภำพประตูสมมติให้เป็นทำงเข้ำ - ออกของผู้แสดง
และมีระบำยผ้ำเขียนชื่อคณะลิเกอีก ๑ ผืน ฉำกชุดเดี่ยวนี้เป็นฉำกมำตรฐำนของลิเก ที่จัดแสดงเพียงคืนเดียว

ฉำกชุดใหญ่
คือ ฉำกผ้ำใบเช่นเดียวกับฉำกชุดเดี่ยว แต่ฉำกหลังมีหลำยผืน เขียนเป็นภำพแสดงสถำนที่ต่ำงๆ
ที่กำรแสดงลิเกมักใช้ด ำเนินเรื่อง เช่น ฉำกท้องพระโรงแทนเมือง ฉำกป่ำ ฉำกอุทยำน ฉำกกระท่อม
ฉำกแต่ละผืนจะม้วนกับแกนไม้ไผ่ แขวนซ้อนกันอยู่เหนือเวที หลังตั่งอเนกประสงค์ โดยจะคลี่ออกมำใช้
หรือม้วนเก็บขึ้นไป เมื่อเปลี่ยนฉำก ฉำกชุดใหญ่จะมีสีสัน ถ้ำเจ้ำภำพต้องกำรเป็นพิเศษ
หรือมีกำรแสดงติดต่อกันหลำยเดือน

ฉำกสำมมิติ

คือ ฉำกผ้ำใบที่เขียนให้ดูคล้ำยจริง เช่น ฉำกป่ำจะมีฉำกหลังเขียนเป็นทิวทัศน์ของป่ำจริงๆ
และมีผ้ำใบเขียนเป็นต้นไม้เถำวัลย์ ฯลฯ ตัดเจำะเฉพำะล ำต้นและใบ แขวนห้อยสลับซับซ้อนกัน
มีแสงสีสำดส่องเห็นฉำกลึกเป็นสำมมิติ ฉำกสำมมิติจะมีหลำยฉำกเพื่อให้เหมำะแก่กำรแสดงลิเกประเภทปิดวิก
ซึ่งเก็บค่ำเข้ำชมกำรแสดง โดยแสดงเรื่องหนึ่งติดต่อกันหลำยคืนจนจบ
และต้องแสดงควำมงดงำมสมจริงของฉำกเพื่อให้ผู้ชมติดใจกลับมำชมอีก

ดนตรี
ดนตรีส ำหรับกำรแสดงลิเก บรรเลงด้วยวงปี่พำทย์ ๒ แบบ คือ วงปี่พำทย์ไทย และวงปี่พำทย์มอญ
เพลงที่ใช้บรรเลงเป็นเพลงในอัตรำสองชั้น ที่ใช้กับละครร ำของไทย กับเพลงลูกทุ่งยอดนิยม
ที่ผู้แสดงลิเกน ำมำร้อง เพื่อเรียกควำมสนใจจำกผู้ชม
วงปี่พำทย์ไทย และวงปี่พำทย์มอญ มีเครื่องดนตรีคล้ำยคลึงกัน ต่ำงกันที่ตะโพนกับฆ้องวง
ตะโพนมอญมีขนำดใหญ่กว่ำตะโพนไทย ฆ้องวงมอญวำงตั้งฉำกกับพื้น ส่วนฆ้องวงไทยวำงรำบกับพื้น
เครื่องดนตรีที่ส ำคัญ ได้แก่ ระนำดเอก ระนำดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ปี่ใน ปี่นอก ปี่มอญ ปี่ชวำ ขลุ่ย ฉิ่ง
ฉำบเล็ก ฉำบใหญ่ กลองทัด ตะโพนไทย ตะโพนมอญ และเปิงมำงคอก
เครื่องดนตรีดังกล่ำวของปี่พำทย์แต่ละวงมีจ ำนวนต่ำงกัน เครื่องดนตรีที่ส ำคัญและจะขำดไม่ได้คือ ระนำดเอก
ฆ้องวงใหญ่ ตะโพนมอญ ตะโพนไทย และฉิ่ง

องค์ประกอบอื่นๆ ที่ส ำคัญ
กำรผสมโรง
หมำยถึง กำรที่ผู้แสดงลิเกมำรวมตัวกันเป็นคณะ เพื่อท ำกำรแสดงครั้งหนึ่ง
เดิมคณะลิเกเป็นกำรรวมตัวที่ค่อนข้ำงถำวร มีหัวหน้ำคณะ หรือโต้โผ และมีลูกโรงคือ ผู้แสดง กินอยู่ด้วยกัน
และแสดงเป็นระยะเวลำนำนๆ โดยที่ผู้แสดงเหล่ำนั้น มักเป็นญำติพี่น้องกัน
และอำจมีผู้แสดงที่ไม่ใช่เครือญำติกันมำร่วมแสดงเป็นครั้งครำว ปัจจุบัน ค ำว่ำ คณะลิเก หมำยถึง
บุคคลกลุ่มเล็กที่ประกอบด้วยโต้โผ ท ำหน้ำที่หำหรือรับงำนมำจัดแสดง โดยมีภรรยำและลูกหลำนอีก ๒ - ๓
คน เป็นแกนน ำในกำรแสดง
จำกนั้นก็เรียกผู้แสดงที่เคยร่วมงำนกันมำผสมโรงให้มีจ ำนวนพอที่จะแสดงในครั้งนี้ได้
ผู้แสดงทุกคนมีเครื่องแต่งกำยและเครื่องแต่งหน้ำของตัวเอง ในส่วนของวงดนตรีก็เช่นเดียวกัน
เมื่อได้รับกำรว่ำจ้ำงจำกโต้โผลิเกแล้ว โต้โผวงปี่พำทย์ก็ไปเรียกนักดนตรีที่เคยเล่นประจ ำวงมำร่วมกันบรรเลง
เมื่องำนแสดงลิเกครั้งนั้นเสร็จสิ้นลงแล้วทุกคนก็แยกย้ำยกันไปรองำนหรือหำงำนใหม่
ถ้ำโต้โผที่เคยร่วมงำนกันจองตัวไว้ก็จะให้โอกำสก่อน กำรผสมโรงเช่นนี้ทุกคนต้องรับผิดชอบตนเอง
ควำมรุ่งเรืองหรือควำมเสื่อมเป็นเรื่องเฉพำะตน
กำรที่ผู้แสดงทุกคนต้องรับผิดชอบงำนและชีวิตของตนเองย่อมส่งผลดีให้แก่วงกำรลิเกในภำพรวม

ลิเกจึงด ำรงอยู่ได้ตลอดมำ

ผู้ชม
ผู้ชมลิเกส่วนใหญ่เป็นสตรีวัยกลำงคนขึ้นไป กลุ่มรองลงมำคือ เด็ก ส่วนวัยรุ่น และหนุ่มสำว มีน้อย
ผู้ชมสนใจควำมสวยงำมของผู้แสดง และเครื่องแต่งกำย รวมทั้งค ำกลอน กำรแสดงบทบำทในอำรมณ์ต่ำงๆ
และบทตลก ผู้ชมลิเกครั้งหนึ่งๆมีประมำณ ๓๕๐ - ๕๐๐ คน พวกที่ตั้งใจมำชม จะให้เด็กน ำเสื่อ
หรือหนังสือพิมพ์มำปูจอง ที่นั่งด้ำนหน้ำ ขณะที่ลิเกก ำลังแสดง ถ้ำผู้ชมเกิดควำมพอใจผู้แสดงคนใด
ซึ่งโดยมำกจะเป็นตัวพระเอก ก็จะลุกขึ้นมำที่หน้ำเวทีแล้วมอบเงินรำงวัล หรือคล้องพวงมำลัย
ประดับธนบัตรเป็นรำงวัล ผู้แสดงจะมำรับรำงวัล ในช่วงที่ปี่พำทย์บรรเลงรับกำรร้องเพลง
เงินรำงวัลที่ได้รับจะเป็นของผู้แสดงคนนั้นโดยเฉพำะ

แม่ยก
เป็นผู้ชมผู้หญิงที่ติดตำมชม และสนับสนุนเงินรำงวัลแก่ผู้แสดงชำย หรือพระเอกลิเกคนใดคนหนึ่งโดยเฉพำะ
ค ำว่ำ “แม่ยก” มำจำกค ำที่ผู้แสดงเรียกผู้ชมกลุ่มนี้ว่ำ “แม่”ด้วยควำม “ยกย่อง” เงินรำงวัลจำกแม่ยก
เป็นรำยได้ที่ส ำคัญอย่ำงยิ่ง ส ำหรับพระเอกลิเก อีกทั้งเป็นปัจจัยส ำคัญ ที่ท ำให้ลิเกยังคงอยู่
และเป็นสิ่งดึงดูดใจเยำวชนให้สนใจ ที่จะเข้ำมำสืบทอดกำรแสดงลิเกให้คงอยู่ต่อไป

สถำนภำพของผู้แสดง
ผู้แสดงลิเก มี ๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็นลูกหลำนของลิเก ที่สืบทอดอำชีพกันมำ อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้แสดง
ที่มำจำกครอบครัวเกษตรกรผู้ยำกจน ที่ไม่ต้องกำรทนควำมยำกล ำบำกในกำรท ำนำท ำไร่
หรือชอบร้องร ำท ำเพลง ก็มำขออำศัยอยู่กับโต้โผลิเก และฝึกหัดไปแสดงไปพร้อมกัน ประมำณ ๒ - ๓ ปี
ก็สำมำรถออกโรงแสดงได้เต็มตัว ผู้แสดงลิเกส่วนใหญ่ จบกำรศึกษำภำคบังคับระดับประถมศึกษำ
มีบำงคนจบกำรศึกษำระดับมัธยมศึกษำ ปวช. ปวส. และอุดมศึกษำ บำงคนจบกำรศึกษำจำกวิทยำลัยนำฏศิลป
ผู้แสดงส่วนใหญ่มีรำยได้พอเลี้ยงตน เมื่อรำยได้ลดลงเพรำะมีนักแสดงรุ่นใหม่เข้ำมำแทนที่
หรือเมื่อมีอำยุมำกขึ้นก็เลิกแสดงลิเก และหันไปประกอบอำชีพอื่น ผู้แสดงที่มีฐำนะดี ซึ่งมีจ ำนวนไม่มำก
เมื่อมีอำยุมำกขึ้น ก็จะเปลี่ยนสถำนภำพไปเป็นโต้โผตั้งคณะลิเกของ ตนเอง ปัจจุบัน
ผู้แสดงลิเกมีสถำนภำพทำงสังคมดีขึ้นกว่ำแต่ก่อน สังคมยอมรับ
และมีบำงคนได้รับกำรยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชำติ

กำรประยุกต์เพื่อกำรสื่อสำร
ลิเกเป็นละครพื้นบ้ำน ที่เป็นที่นิยมกันในบริเวณภำคกลำงของประเทศ ที่พูดภำษำไทยกลำง
ซึ่งเป็นภำษำที่ลิเกใช้แสดง แต่ลิเกก็เป็นที่นิยมในภูมิภำคอื่นๆ อยู่บ้ำง กำรแสดงลิเกมีผลต่อกำรชม กำรฟัง
และกำรกระตุ้นกำรรับข่ำวสำรของผู้ชม ดังนั้น

ลิเกจึงเป็นสื่อส ำคัญที่ทั้งภำครัฐและเอกชนน ำมำใช้เพื่อช่วยส่งข่ำวสำรไปสู่ผู้ชม เช่น
กำรต่อต้ำนลัทธิบำงอย่ำงที่เป็นอันตรำยต่อควำมมั่นคงของชำติ
กำรป้องกันและกำรรักษำสุขภำพอนำมัยและโภชนำกำร
กำรเสริมสร้ำงลัทธิชำตินิยมและท ำนุบ ำรุงศิลปวัฒนธรรม ซึ่งนับว่ำได้ผลดี










บรรณำนุกรม
ครูพร (วัชรีพร ลีลำนันทกิจ)
บ้ำนร ำไทย ดอท คอม http://www.banramthai.com/
บ้ำนร ำไทย 40 ซอยช่ำงอำกำศอุทิศ 5 ถนนช่ำงอำกำศอุทิศ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ
10210 โทร : 08-4147-6061 , 08-6068-5523 แฟ็กซ์ : 02-929-5911
อีเมล : [email protected] , [email protected]

นำยสุรพล วิรุฬห์รักษ์
สถ.บ. (เกียรตินิยม) คณะสถำปัตยกรรมศำสตร์ จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย
M. Architecture และ M.A. (Drama and Theatre) University of
Washington, U.S.A.
Ph.D. (Drama and Theatre) University of Hawaii, U.S.A.

ศำสตรำจำรย์ประจ ำภำควิชำวำทวิทยำและสื่อสำรกำรแสดง คณะนิเทศศำสตร์ จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย
ประธำนคณะกรรมกำรหลักสูตรศิลปศำสตรดุษฎีบัณฑิต (สำขำนำฏยศิลป์ไทย) คณะศิลปกรรมศำสตร์
จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย
ผู้อ ำนวยกำรหลักสูตรศิลปศำสตรมหำบัณฑิต สำขำกำรจัดกำรทำงวัฒนธรรม บัณฑิตวิทยำลัย
จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย
สำรำนุกรมไทยส ำหรับเยำวชนฯ เล่ม ๒๗เรื่องที่ ๑ ลิเก

http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=27&chap=1&pa
ge=t27-1-suggestion.html
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=27&chap=1&pa
ge=t27-1-detail.html
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=27&chap=1&pa
ge=t27-1-infodetail01.html
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=27&chap=1&pa
ge=t27-1-infodetail02.html
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=27&chap=1&pa
ge=t27-1-infodetail03.html
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=27&chap=1&pa
ge=t27-1-infodetail04.html
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=27&chap=1&pa
ge=t27-1-infodetail05.html

โครงกำรสำรำนุกรมไทยส ำหรับเยำวชน โดยพระรำชประสงค์ในพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว
โครงกำรสำรำนุกรมไทยฯ สนำมเสือป่ำ ถนนศรีอยุธยำ เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300
โทรศัพท์ 0-2280-6502, 0-2280-6507, 0-2280-6515, 0-2280-6538, 0-2280-
6541 โทรสำร 0-2280-6580, 0-2280-6589
พิมพ์ขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๔๖
Tags