การทบทวนวรรณกรรมการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน

choenkrainara 27 views 44 slides Oct 15, 2024
Slide 1
Slide 1 of 44
Slide 1
1
Slide 2
2
Slide 3
3
Slide 4
4
Slide 5
5
Slide 6
6
Slide 7
7
Slide 8
8
Slide 9
9
Slide 10
10
Slide 11
11
Slide 12
12
Slide 13
13
Slide 14
14
Slide 15
15
Slide 16
16
Slide 17
17
Slide 18
18
Slide 19
19
Slide 20
20
Slide 21
21
Slide 22
22
Slide 23
23
Slide 24
24
Slide 25
25
Slide 26
26
Slide 27
27
Slide 28
28
Slide 29
29
Slide 30
30
Slide 31
31
Slide 32
32
Slide 33
33
Slide 34
34
Slide 35
35
Slide 36
36
Slide 37
37
Slide 38
38
Slide 39
39
Slide 40
40
Slide 41
41
Slide 42
42
Slide 43
43
Slide 44
44

About This Presentation

การทบทวนวรรณกรรมการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน
(Literature Review on Urban Waste Management)
DOI: 10.13140/RG.2.2.31131.07208


Slide Content

การทบทวนวรรณกรรมการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน
(Literature Review on Urban Waste Management)







โดย

เชิญ ไกรนรา
วิภูสนา มณีสุข
จิรวัฒน์ ปานเพ็ง
ชนกมน รุยาพร
บุญเลี้ยง หน่ายโคกสูง
จุฑาภรณ์ โรจน์วิทยาธร
สุประวีก์ สิริภาวนาวิสิฐ





14 ตุลาคม 2566
สำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคกลาง

2

สารบัญ
เรื่อง หน้า
1 นิยามศัพท์เฉพาะและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 3
1.1 ความหมายของเมือง 3
1.2 ความเป็นเมือง 4
1.3 การจัดลำดับชั้นและการแบ่งขนาดของเมือง 10
1.4 หน้าที่และความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับการ 11
บริการจัดการเมืองของประเทศไทย
2 ขยะมูลฝอยชุมชนในเมือง 18
3 แนวคิด ทฤษฏี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 21
3.1 แนวคิดการจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืนแบบบูรณาการ (Integrated 21
Sustainable Waste Management: ISWM)
3.2 แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) 26
3.3 แนวคิดเศรษฐกิจพลาสติกใหม่ (New Plastics Economy) ความมุ่งมั่นระดับโลก 27
3.4 แนวคิดการใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยชุมชน และเทคโนโลยีและนวัตกรรมการจัดการ 28
ขยะมูลฝอยชุมชน
3.5 สรุปการทบทวนวรรณกรรมการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน 37
บรรณานุกรม 38

3

การทบทวนวรรณกรรมการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน
บทนี้นำเสนอนิยามศัพท์เฉพาะและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับเมือง ความเป็นเมืองและการบริหารจัดการเมือง
ขยะมูลฝอยชุมชนในเมือง แนวคิด ทฤษฏีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แนวคิดการใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอย
ชุมชน เทคโนโลยีและนวัตกรรมการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนและขยะพลาสติก รวมทั้งกรอบแนวคิดของ
การศึกษา
1 นิยามศัพท์เฉพาะและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
1.1 เมือง ความเป็นเมือง และการบริหารจัดการเมือง
1) ความหมายของเมือง
ตามพจนานุกรมศัพท์ภูมิศาสตร์ฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้คำนิยามของ “เมือง”
(Town) ว่าหมายถึง พื้นที่ตั้งชุมชนซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าหมู่บ้าน มีสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ โดยมี
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดูแลและจัดการ อาจเรียกเมืองต่างๆ ตามลักษณะกิจกรรมที่สำคัญในเมืองนั้นๆ
เช่น เมืองการค้า เมืองอุตสาหกรรม เป็นต้น หรือตามสถานที่ตั้ง อาทิ เมืองชายทะเล หรือเมืองท่าทางทะเล
เมืองมีความหมายมากมายซึ่งกล่าวโดยสรุปว่า
1
เมือง (Urban Area) คือ บริเวณที่มีประชากรตั้งถิ่นฐานอยู่
อย่างหนาแน่นเป็นชุมชน (Community) และประชากรส่วนใหญ่มิได้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เป็นศูนย์กลาง
ทางด้านการบริหารและการปกครอง การติดต่อสื่อสาร สิ่งก่อสร้างหนาแน่น มีถนนหนทาง ทั้งภายในและ
ภายนอกเมือง รวมทั้งระหว่างเมือง เกิดเป็นลักษณะเฉพาะทางทางด้านกายภาพที่มีความแตกต่างจากชนบท
โดยทั่วไป
ในขณะที่ “นคร” หมายถึง สถานที่ซึ่งมีประชาชนจำนวนมากอยู่อาศัย เป็นศูนย์กลาง
ทางการปกครอง การพาณิชย์ และการคมนาคม ดังนั้น การพัฒนาสู่ความเป็นเมืองในนครและมหานครจึงเป็น
ประเด็นที่ภาคประชาสังคม รัฐบาล และองค์การระหว่างประเทศต้องตระหนักว่าการพัฒนาสู่ความเป็นเมือง
เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและสามารถนำศักยภาพของความเป็นเมืองมาพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ที่ให้
ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนในสังคม มากกว่าการนำเงื่อนไขของการพัฒนาสู่
ความเป็นเมืองมาเป็นปัจจัยในการพัฒนาเศรษฐกิจแต่เพียงด้านเดียวเช่นที่ผ่านมา
ส่วนคำว่า “มหานคร” ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติจากคำว่า Metropolis หมายถึง เมือง
ขนาดใหญ่มากหรือเมืองแม่ของรัฐหรือประเทศ มีความสำคัญทั้งในทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ลักษณะ
สำคัญของมหานคร ประการแรก เป็นศูนย์กลางการปกครอง เศรษฐกิจการเงิน สังคมและวัฒนธรรม สามารถ
ที่จะดึงเอาผลผลิตของประเทศนั้นๆ มาอยู่ภายในเขตเมืองใหญ่ เพื่อการเก็บรวบรวม การค้าขายและการขนส่ง


มรกต วรชัยรุ่งเรือง เอกสารประกอบการสอน GEO2204 ภูมิศาสตร์เมือง สาขาวิชาภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ
ศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนสุนันทา

4

ตามปกติแหล่งอุตสาหกรรมจะตั้งอยู่ภายในหรือใกล้มหานครด้วย ประการที่สอง ตั้งอยู่โดดๆ ไม่มีอาณาเขตติดต่อ
กับมหานครอื่นๆ ถ้าติดต่อกับชุมชนเมืองอื่นๆ จะกลายเป็นอภิมหานคร (Megalopolis) ซึ่งก็คือเขตที่มีเมือง
และนครใหญ่อยู่หนาแน่นติดต่อกัน เช่น ชายฝั่งของสหรัฐอเมริกาด้านมหาสมุทรแอตแลนติกตั้งแต่ทางใต้ของ
เมืองบอสตันลงมาถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งมีเมืองเรียงรายเป็นจำนวนมาก และมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น
นอกจากนี้ยังมีความหมายอื่นๆ ของมหานครซึ่งหมายถึงท้องถิ่นที่เป็นศูนย์กลางของความเจริญทางเศรษฐกิจ
และสังคม เป็นเมืองที่ดำเนินธุรกิจทางด้านอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน
บันเทิง โดยมีพลเมืองอย่างน้อย 50,000 คนขึ้นไป ตัวอย่างมหานครที่เห็นได้ชัดเจน คือกรุงเทพมหานครซึ่งยัง
มีลักษณะของความเป็น “เอกนคร หรือ เมืองโตเดี่ยว” (Primate city) ด้วย กล่าวคือเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่
ที่สุดของประเทศ และใหญ่กว่าเมืองในระดับรองลงมามากกว่า ๒-๓ เท่า เนื่องจากมีการขยายตัวของเมืองมากกว่า
เมืองอื่นๆ จนเกิดความแตกต่างในขนาดของประชากรอย่างเห็นได้ชัด โดยมีปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโต
ได้แก่ สถานที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทำให้เป็นศูนย์กลางคมนาคมขนส่งออกสู่ทะเล รวมถึงการเป็นศูนย์กลาง
ด้านการบริหาร เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และการมีชื่อเสียงในสังคมโลก
2) ความเป็นเมือง
(1) วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเป็นเมืองและการขยายตัวของเมือง

2
ฉัตรชัย พงษ์ประยูร (2549, หน้า 34) จำแนกแนวคิดเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานออกเป็น
4 รูปแบบ ได้แก่ (1) การตั้งถิ่นฐานแบบกลุ่ม (Clustered Settlement) หรือการตั้งถิ่นฐานแบบกระจุก การตั้งถิ่น
ฐานแบบนี้มีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางธรรมชาติหรือปัจจัยกายภาพ เช่น ที่ราบลุ่ม แหล่งแร่ธาตุ หุบเขา บริเวณ
แยกของถนนบริเวณคุ้งน้ำและบริเวณที่แม่น้ำบรรจบกัน เป็นต้น ในตอนแรกของการตั้งถิ่นฐานอาจเริ่มจาก
บ้านโดดจำนวน 2-5 หลังคาเรือน ในระยะหลังจำนวนคนมากขึ้น กลุ่มบ้านขนาดเล็กขยายขึ้นเป็นหมู่บ้าน
ขนาดใหญ่ หมู่บ้านที่สร้างมานานมักมีขนาดใหญ่ ซึ่งมักเป็นการตั้งถิ่นฐานในชนบทที่ประกอบอาชีพ
เกษตรกรรม โดยพื้นที่เกษตรจะอยู่รอบหมู่บ้าน พบมากในเขตที่ราบภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและ
ภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะหมู่บ้านที่คนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา การตั้งถิ่นฐานแบบนี้เสียเวลา
เดินทางไปกลับ ข้อดีคือชุมชนมีความใกล้ชิดกัน (2) การตั้งถิ่นฐานแบบกระจาย (Dispersed or Scattered
Settlement) เป็นการตั้งถิ่นฐานที่บ้านเรือน ยุ้งฉาง คอกสัตว์ โรงเก็บเครื่องมือของเกษตรกรตั้งอยู่ในพื้นที่ของ
ตนเอง หรืออาจเรียกว่าการกระจายในลักษณะโดดเดี่ยว (Isolated Settlement) ความห่างของบ้านเรือน
ขึ้นอยู่กับขนาดที่ดินแต่ละครอบครัว การตั้งถิ่นฐานแบบนี้จะมีศูนย์กลางร่วมกันในการรับบริการจากสถานที่
สาธารณะของชุมชน เช่น วัด โรงเรียน สถานีอนามัย ตลาด เป็นต้น การตั้งถิ่นฐานแบบนี้ของประเทศไทยจะ
ปรากฎในบริเวณที่เกษตรกรมีอาชีพทำไร่ ทำสวน และทำฟาร์มสวนผสม (ใช้ทั้งเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์) เช่น
อ้อย สับปะรด มันสำปะหลัง ทุเรียน และส้มโอ เป็นต้น การตั้งถิ่นฐานแบบนี้ไม่เสียเวลาเดินทางไปกลับ


จาก “แนวคิดเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐาน” วิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษาพัฒนาการของชุมชนริมน ้าตลาดบ้านใหม่ อ.เมือง
จ.ฉะเชิงเทรา บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หน้า 5-10 มหาวิทยาลัยบูรพา

5

(3) การตั้งถิ่นฐานแบบสุ่ม (Random Settlement) เป็นการตั้งถิ่นฐานที่มีลักษณะเป็นกลุ่มและกระจายแบบ
โดดเดี่ยวสลับกัน โดยการตั้งถิ่นฐานครั้งแรกจะอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มบ้าน ต่อมาเมื่อมีคนมากขึ้นก็มีการขยาย
พื้นที่เกษตร ขยายการตั้งถิ่นฐาน ในขณะเดียวกันมีบางบ้านต้องการความเป็นอิสระและต้องการสร้างที่อยู่
อาศัยเพื่อดูแลไร่นาได้เต็มที่ จึงปรากฎการตั้งถิ่นฐานกระจายออกไปจากหมู่บ้าน และ (4) การตั้งถิ่นฐานตาม
แนวเส้นทางคมนาคม (Linear Settlement) การตั้งถิ่นฐานรูปแบบนี้ปรากฎในบริเวณที่ราบเป็นส่วนใหญ่
ลักษณะการตั้งบ้านเรือนจะเป็นแนวยาวตามเส้นทางคมนาคมที่สะดวก โดยอาจตั้งอยู่เป็นกลุ่มติดต่อกันในเขต
ที่เป็นชุมชนการค้าหรือทางแยกของเส้นทางคมนาคม ส่วนที่ไกลออกไปอาจมีการตั้งบ้านเรือนห่างกัน พื้นที่
เกษตรอยู่บริเวณด้านหลังของที่อยู่อาศัย เส้นทางคมนาคมที่ส่งเสริมให้มีการตั้งถิ่นฐาน ได้แก่ แม่น้ำ ลำคลอง
ถนน และตามแนวยาวของหุบเขาแคบๆ เป็นต้น
(2)
3
สถานการณ์ความเป็นเมืองของโลก
ความเป็นเมือง (Urbanization) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเด่นชัดในทุกทวีป
ไม่เว้นแม้แต่ทวีปแอฟริกาที่มีความเจริญน้อย อาจกล่าวได้ว่าความเป็นเมืองนั้นเป็นกระแสหนึ่งของโลกใน
ขณะนี้ ในปัจจุบันพบว่าประชากรของโลกอาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองมากกว่าพื้นที่ชนบท จากข้อมูลในเอกสาร
World Urbanization Prospects ประจำปี 2014 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยองค์การสหประชาชาติได้แสดงให้เห็นว่า
ความเป็นเมืองเกิดขึ้นวงกว้างและเป็นไปอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยวัดได้จากการที่ประชากรย้ายจากชนบทเข้า
มาอาศัยอยู่ในเมืองทำให้ประชากรในเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเดิมในปี พ.ศ.2943 ประชากรโลก มากกว่า
2 ใน 3 (ร้อยละ 70) อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท ส่วนประชากรโลกน้อยกว่า 1 ใน 3 (ร้อยละ 30) อาศัยอยู่ในพื้นที่
เมือง ต่อมาในปี พ.ศ.2557 ประชากรโลกร้อยละ 54 อาศัยอยู่ในเขตเมือง โดยการเพิ่มของประชากรที่อาศัย
อยู่ในเขตเมืองในปี พ.ศ.2550 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของโลกที่ประชากรอาศัยอยู่ในเขตเมือง มีจำนวน
มากกว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตชนบท หลังจากปี พ.ศ.2550 เป็นต้นมาประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองมากขึ้น
เรื่อยๆ และไม่มีแนวโน้มจะลดลง จากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองมีการคาดการณ์ว่า
ในปี พ.ศ.2593 จะมีประชากรโลกเพียงหนึ่งในสาม (ร้อยละ 34) อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท ในขณะที่ประชากร
โลก 2 ใน 3 (ร้อยละ 66) จะอาศัยอยู่ในพื้นที่เมือง
(3) สถานการณ์ความเป็นเมืองของประเทศไทย
ประเทศไทยก็อยู่ในกระแสของความเป็นเมืองเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดย
ประเทศไทย
4
ในปี พ.ศ. 2561 มีประชากรวมทั้งสิ้น 66,413,797 คน แบ่งออกเป็นประชากรที่อาศัยอยู่ในเขต
เทศบาล จำนวน 22,873,538 คน หรือคิดเป็นอัตราความเป็นเมืองร้อยละ 34.40 และประชากรที่อาศัยนอก
เขตเทศบาลหรือในพื้นที่ชนบทจำนวน 43,540,441 คน หรือคิดเป็นร้อยะ 65.55 ซึ่งประเทศไทยใช้พื้นที่เทศบาล


อรทัย ก๊กผล “Urbanization “เมือง” กลายเป็นโจทย์ของการบริหารจัดการท้องถิ่นสมัยใหม่ กรุงเพทฯ :
สถาบันพระปกเกล้า 2559 หน้า 220

จาก “จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561” ราชกิจจานุเบกษา
เล่มที่ 136 ตอนพิเศษ 36 ง หน้า 32 วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562

6

เป็นตัวบอกพื้นที่ความเป็นเมือง
5
ในปี พ.ศ. 2561 ประเทศไทยมีเทศบาลจำนวนทั้งสิ้น 2,450 แห่ง แบ่ง
ออกเป็นเทศบาลนคร 30 แห่ง เทศบาลเมือง 184 แห่ง และเทศบาลตำบล 2,236 แห่ง หากเทียบกับปี พ.ศ.
2556 พบว่า ประชากรในเขตเทศบาลของประเทศไทยเพิ่มขึ้น จำนวน 736,873 คน การที่ประเทศไทยมี
ประชากรอาศัยอยู่ในเมืองมากขึ้นมีข้อดีด้านกำลังแรงงานที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมที่อยู่ในย่านของเมืองมาก
ขึ้น และการขนส่งสินค้ามีต้นทุนต่ำลงเพราะประชากรไม่ได้อยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกลอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม
เพราะประชากรมาอาศัยรวมกันได้ส่งผลกระทบทางด้านลบหลายประการ เช่น ขยะมูลฝอย น้ำเสีย
อาชญากรรม และความไร้ระเบียบ เป็นต้น ซึ่งเป็นประเด็นที่ท้าทายการบริหารจัดการเมืองในประเทศไทยที่มี
การเติบโตตามยถากรรมและไร้ทิศทาง
ในหลายทศวรรษที่ผ่านมาสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากทั้งจำนวนประชากร
อาคารบ้านเรือน ถนนหนทาง สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งความเป็นเมืองซึ่งกระจายทั่วประเทศไม่ได้
จำกัดเพียงกรุงเทพมหานคร จากเดิมที่ประชากรไทยกระจายตัวอยู่ตามชนบทเป็นส่วนใหญ่และประกอบอาชีพใน
ภาคเกษตร นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ทุกวันนี้ประชากรเข้ามาอยู่อาศัยในเมืองมากขึ้น ปัจจุบันอาชีพเกษตรกรรม
เหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ประชากรที่ประกอบอาชีพนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น ทำงานในโรงงาน
อุตสาหกรรม การก่อสร้าง ค้าขายและบริการต่างๆ นอกจากนี้ลักษณะทางกายภาพของสังคม อาทิ อาคาร
บ้านเรือนและร้านค้าสมัยใหม่ตั้งกระจายตัวอยู่ทั่วทุกเมืองและถนนหนทาง รวมทั้งรูปแบบการเดินทางที่
หลากหลาย สะดวก และรวดเร็ว ประกอบกับเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตสู่ความทันสมัย
สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่คนมารวมตัวอยู่ในเมืองและมีการเพิ่มขึ้นของประชากรในเขตเมืองอย่างรวดเร็วเป็น
ที่มาให้สถาบันวิจัยประชากรเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ระเบิดคนเมือง”ในประเทศไทย โดยชี้ให้เห็นว่าเมื่อพิจารณา
จากประชากรเมืองทั้งที่มีชื่อและไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนและรวมตัวเลขประชากรที่ประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
นอกภาคเกษตรแล้วอาจมากถึงร้อยละ 51 ของประชากรทั้งประเทศ (ปราโมทย์ และคณะ, 2561)
การขยายตัวของชุมชนบริเวณชานเมืองกับความยั่งยืนทางสังคม การเจริญเติบโต
ของการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ชานเมืองกรุงเทพมหานครเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดระยะเวลา 30-40 ปีที่ผ่านมา
การเพิ่มขึ้นของประชากรในอัตราที่สูงขึ้นโดยส่วนใหญ่เป็นการอพยพของประชากรจากพื้นที่ชนบทเข้าสู่เมือง
ส่งผลให้กรุงเทพมหานครมีสัดส่วนของประชากรเมืองมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรเมืองทั้งประเทศ บริเวณ
ภาคมหานครที่ขยายออกไป (Extended Bangkok Metropolitan Region) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่โดยรอบเมือง
และ 5 จังหวัดปริมณฑลมีการขยายตัวของการตั้งถิ่นฐานอย่างมาก การขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของชุมชน
บริเวณชานเมือง ก่อให้เกิดความขัดแย้งและคุกคามสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและส่งผลกระทบต่อการ
เปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางสังคมของเมือง ทั้งนี้ปรากฎการณ์ของการขยายตัวของความเป็นเมืองใน
พื้นที่บริเวณชานเมืองและปัญหาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นแนวโน้มที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเมืองในประเทศ
กำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก


จากข้อมูลของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ท าการคาดประมาณประชากรภายในประเทศ
พบว่าในปี 2561 มีประชากรอยู่ในเขตเมืองคิดเป็นร้อยละ

7

(4)
6
ความเป็นเมืองของพื้นที่ภาคกลาง
(4.1) วิวัฒนาการการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ภาคกลาง
พื้นที่รัฐในยุคดั้งเดิมพื้นที่ภาคกลางถูกครอบงำโดยรัฐอาณาจักรมาตั้งแต่
กลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 รัฐสยามที่ปกครองภาคกลางมีเขตอำนาจไม่ชัดเจนและไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับอำนาจ
โดยเปรียบเทียบของรัฐ โดยเมืองหลวงกับรัฐโดยรอบของรัฐสยามประกอบด้วย 2 ส่วนหลักๆ คือ พื้นที่
แกนกลาง (Heartland) และพื้นที่ชายขอบ (Peripheries)
• พื้นที่แกนกลาง หมายถึง ที่ราบภาคกลางอันเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง
ที่ราบชายฝั่งตะวันออกจากชลบุรีจรดตราด และที่ราบชายฝั่งตะวันตกจากเพชรบุรีจรดนครศรีธรรมราช โดยที่
ราบภาคกลางเป็นบริเวณที่มีเนื้อที่ใหญ่และอุดมสมบูรณ์ประกอบด้วยลุ่มน้ำต่างๆ หลายลุ่มน้ำ ดินแดนส่วนนี้มี
การอยู่อาศัยมาช้านานและเป็นแหล่งปลูกข้าวที่ให้ผลผลิตมากพอที่จะเลี้ยงประชากรจำนวนมาก แต่มีรูปแบบ
การตั้งถิ่นฐานแบบกระจายทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ยังมีสภาพเป็นดินแดนรกร้างหรือมีเพียงชุมชนเล็กๆ ดินแดน
ส่วนนี้แม้ว่าทุรกันดารแต่ก็เต็มไปด้วยของหายาก เช่น หนังสัตว์ สมุนไพร ไม้ เปลือกไม้ เครื่องเทศ อัญมณี แร่ธาตุ
มีค่า ไม้หอม งาช้าง เป็นต้น อันเป็นที่ต้องการของทั้งคนชั้นสูงในเมืองและตลาดต่างแดน
• พื้นที่ชายขอบ หมายถึง บรรดาดินแดนที่อยู่รอบพื้นที่แกนกลางซึ่ง
ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้อำนาจของสยามในฐานะประเทศราช (Tributary States) เช่น ลาว อีสาน เขมร ล้านนา
และมลายู เป็นต้น รัฐสยามไม่ได้เข้าไปปกครองใกล้ชิดเหมือนอย่างบ้านเมืองในภาคกลาง ดินแดนเหล่านี้มีอิสระ
อย่างมากในการปกครองตนเอง โดยพื้นที่ชายขอบเป็นแหล่งของป่าหายากเช่นเดียวกับเขตป่าดงภาคกลาง
พื้นที่รัฐยุคพัฒนาในช่วงทศวรรษ 1960 รัฐบาลสร้างเครือข่ายทางหลวง
คุณภาพสูงอย่างกว้างขวางและครอบคลุมด้วยเหตุผลทางการเมืองและความมั่นคง ภายใต้บรรยากาศสงครามเย็น
สหรัฐอเมริกาสนับสนุนและทุ่มเทให้ความช่วยเหลือประเทศไทยพัฒนาเครือข่ายทางหลวงทั้งทางการเงินและ
ทางเทคนิค เนื่องจากต้องการใช้ถนนเป็นเครื่องมือของรัฐในการสอดส่องดูแลดินแดนห่างไกลของประเทศที่ถูก
คุกคามโดยภัยคอมมิวนิสต์ ในแง่นี้ ถนนเป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์สงครามเย็น
เครือข่ายทางหลวงคุณภาพสูงเปิดโอกาสให้คนและสิ่งของไหลเวียนไป
ทั่วประเทศได้สะดวกรวดเร็วและครอบคลุมกว่าในอดีตอย่างเทียบไม่ติด ในระยะแรกการเดินทางโดยทางหลวง
ถูกผูกขาดโดยคนส่วนน้อยซึ่งมีกำลังซื้อรถยนต์ ต่อมาไม่นานนักมีบริการรถประจำทางระหว่างจังหวัด ซึ่งชุมทาง
ศูนย์กลางอยู่ที่กรุงเทพมหานครและระหว่างอำเภอภายในจังหวัด สิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดการเดินทางของผู้คนทั่ว
ประเทศ เครือข่ายทางหลวงซึ่งเอื้ออำนวยต่อการขนส่งสินค้าและผลผลิตและทะลุทะลวงเข้าถึงท้องถิ่นได้

6
รายงานการศึกษาฉบับสุดท้าย (Final Report) โครงการศึกษาแนวทางพัฒนาเมืองในพื้นที่ภาคกลาง เสนอต่อส านัก
พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคกลาง ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดท าโดยคณะ
สถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 21 ธันวาคม 2558

8

มากกว่าระบบรถไฟทำให้การค้าในท้องถิ่นต่างๆ เติบโตอย่างรวดเร็ว การค้าในกรุงเทพมหานครยิ่งเติบโตเร็ว
กว่าเนื่องจากกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางของระบบทางหลวงและศูนย์กลางการค้าของประเทศ
เครือข่ายการคมนาคมขนส่งทางบกที่ถักทอขึ้นอย่างกว้างขวางตั้งแต่
ทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา ทำให้คนต่างถิ่นได้มีโอกาสติดต่อกันโดยตรงทำให้นำมาซึ่งสำนึกของการเป็นที่อยู่ใน
พื้นที่ประเทศไทยซึ่งสามารถสัมผัสได้ด้วยประสบการณ์จริง พื้นที่ประเทศไทยกลายเป็นความจริงเชิงประจักษ์
ที่คนจำนวนมากตระหนักได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงรูปธรรมที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนทำให้ประชาชนสามารถ
จินตนาการถึงรัฐไทยได้อย่างชัดแจ้ง
(4.2) เมืองในพื้นที่ภาคกลาง
เมืองในภาคกลางของยุคดั้งเดิม ภาคกลางเป็นพื้นที่ที่เมืองเกิดขึ้นเป็นจำนวน
มากมานานแล้ว เมืองในที่ราบลุ่มภาคกลางมักตั้งริมแม่น้ำลำคลองอันเป็นเส้นทางคมนาคม ในยุคดั้งเดิมเมืองใน
ภาคกลางจำแนกออกเป็น 3 ประเภท คือ เมืองเล็ก เมืองใหญ่ และเมืองหลวง
• เมืองเล็ก เปรียบได้กับหมู่บ้านขนาดใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากลักษณะ
บ้านเรือนและการใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกไม่แตกต่างกับหมู่บ้านนัก หรือเรียกได้ว่าเมืองเล็กคือหมู่บ้านที่เติบโต
ขยายขึ้น องค์ประกอบสำคัญที่บ่งชี้ความเป็นเมืองคือการมีเจ้าเมืองและคณะกรมการเมืองที่รัฐแต่งตั้ง และ
จวนหรือคุ้มเจ้าเมืองซึ่งมีขนาดใหญ่โตกว่าเรือนชาวบ้าน กิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่มีความสำคัญเท่ากิจกรรม
ทางศาสนาและการปกครอง เมืองเล็กมักไม่มีตลาดถาวรในชีวิตประจำวัน มีเพียงตลาดเช้าหรือเย็นสำหรับซื้อ
ขายของสดและของคาวในการกินอยู่ประจำวัน และมีตลาดนัดในวันใดวันหนึ่งของสัปดาห์ สำหรับการซื้อ ขาย
และแลกเปลี่ยนสินค้าระยะไกล
• เมืองใหญ่ มิได้เป็นเพียงหมู่บ้านขนาดใหญ่ หากแต่มีลักษณะความ
เป็นเมืองชัดเจนทั้งในแง่ความเป็นศูนย์กลางในหลายๆ ด้าน มีสังคมที่ซับซ้อนและมีการแบ่งงานกันทำ เมืองใหญ่
ในภาคกลางมีคูน้ำและกำแพงล้อมรอบเพื่อป้องกันการรุกล้ำของข้าศึกศัตรู ภายในเมืองมีองค์ประกอบสำคัญ
คือวัดใหญ่กลางเมืองซึ่งมักเป็นที่ประดิษฐานของพระสถูปเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุ คุ้มหรือวังเจ้าเมืองซึ่งเป็น
สิ่งก่อสร้างอันโดดเด่น ตลาดและย่านชุมชน เมืองใหญ่ล้วนตั้งอยู่ริมแม่น้ำเพชรบุรี เมืองราชบุรีตั้งอยู่ริมแม่น้ำ
แม่กลอง เมืองแพรกศรีราชาตั้งอยู่ริมแม่น้ำน้อย และเมืองนครชัยศรีและเมืองสุพรรณภูมิตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน
• เมืองหลวง เป็นเมืองขนาดใหญ่ที่สุดที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของรัฐ
กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวงระหว่าง ค.ศ.1893-2310 และกรุงเทพมหานคร (หมายรวมถึงธนบุรีด้วย)
ระหว่าง พ.ศ. 2310 ถึงปัจจุบัน เมืองหลวงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของรัฐใน 3 ด้านหลัก คือการค้า การ
ปกครอง และความเชื่อ ด้วยตำแหน่งที่ตั้ง อันเป็นศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์กรุงศรีอยุธยาและ
กรุงเทพมหานครคือจุดยุทธศาสตร์และชุมทางคมนาคมของภูมิภาค เมืองทั้งสองคือจุดต่อระหว่างโลก
ภายนอกกับโลกภายใน เครือข่ายลำน้ำเชื่อมโยงตัวเมืองเข้ากับบ้านเมืองและดินแดนป่าเขาที่ล้ำเข้าไปใน
แผ่นดิน ขณะที่แม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลสู่ปากอ่าวเชื่อมโยงกับโลกภายนอกทางทะเล ลักษณะดังกล่าวทำให้

9

กรุงศรีอยุธยาและกรุงเทพมหานครกลายเป็นทำเลกลางของการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าต่างถิ่นที่เหนือกว่า
บรรดาเมืองสำคัญอื่นๆ ทั้งปวงในแถบนี้
เมืองส่วนใหญ่ของภาคกลางมีลักษณะสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก เขตเมืองมีทั้ง
ชุมชนน้ำและชุมชนบก ชุมชนน้ำตั้งอยู่ตามชายตลิ่งหรือในแม่น้ำลำคลอง เป็นหลักแหล่งที่ชาวบ้านชาวเมืองซึ่ง
เป็นคนส่วนใหญ่อยู่อาศัยใช้ชีวิตทำมาหากิน ชุมชนน้ำมีลักษณะการตั้งเรือนยกพื้นต่อๆ กันเป็นแถวแนวเรียงยาว
ไปตามลำน้ำ ในย่านที่เป็นชุมชนหนาแน่น กลุ่มเรือนมักเรียงแถวซ้อนกันหลายแถว ย่านที่หนาแน่นมาก เช่น
บริเวณที่ลำคลองสบกับแม่น้ำจะมีเรือนแพจอดเรียงรายซ้อนอยู่ข้างหน้าอีกชั้นหนึ่ง หรือหลายๆ ชั้น ชุมชนบก
เป็นที่พำนักของชนชั้นนำ อันได้แก่ เจ้านาย ขุนนาง พระ และข้าบริวาร ชุมชนบกมีผู้คนและสิ่งปลูกสร้างเบาบาง
และถนนหนทางก็มีน้อย อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นหลักแหล่งของชนชั้นสูงชุมชนบกจึงเป็นที่ตั้งอาคาร
สถานอันโอ่อ่า มั่นคงแข็งแรงมากมาย อาทิ วังน้อยใหญ่ วัด และเรือนขุนนาง
เมืองภาคกลางในยุคเปลี่ยนผ่านภายใต้สภาวะใหม่ทางกายภาพและทาง
เศรษฐกิจ ชุมชนเมืองรูปแบบใหม่ปรากฏขึ้นมากมายในภาคกลาง ชุมชนเมืองแบบใหม่เป็นชุมชนขนาดเล็กที่มี
ศูนย์กลางอยู่ที่ย่านการค้า อันประกอบด้วยตลาดถาวรและที่อยู่อาศัยของพ่อค้าแม่ค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจีน
ชุมชนเมืองรูปแบบใหม่มักพบตามบริเวณชุมทางคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำ ชุมชนเหล่านี้มิได้สัมพันธ์กับ
พื้นที่เกษตรกรรมเหมือนอย่างชุมชนดั้งเดิมทั้งหลาย หากแต่กระจายไปตามแหล่งทรัพยากรต่างๆ หลายแห่ง
อยู่ตามที่ดินและห่างไกลทางน้ำตามธรรมชาติ การสร้างทางรถไฟกระตุ้นให้เกิดชุมชนเมืองขึ้นตามสถานีรถไฟ
ต่างๆ ชุมชนเมืองแบบใหม่พัฒนาขึ้นเป็นย่านตำบลและอำเภอในยุคต่อมา
ในยุคเปลี่ยนผ่านกระบวนการเป็นเมืองเริ่มขยายตัวในภาคกลางอย่าง
กว้างขวาง เมืองเก่าต่างๆ ที่มีมาตั้งแต่ยุคดั้งเดิมมีแนวโน้มเติบโตขึ้น ในขณะที่เมืองการค้าใหม่ๆ ผุดขึ้นทั่วไป
โดยเฉพาะบริเวณที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็วนำหน้าเมืองอื่นๆ ใน
ภาคกลางอย่างเทียบไม่ติดปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้ด้วยปัจจัยเกื้อหนุนหลายประการ อาทิ การที่
โครงข่ายบริการพื้นฐานที่ครอบคลุมภาคกลางล้วนมีชุมทางใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานคร การพัฒนาโครงสร้าง
พื้นฐานในกรุงเทพมหานครเอง การเป็นเมืองท่าสำคัญที่สุดที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศและการเป็นศูนย์กลาง
ธุรกิจของประเทศ
ทศวรรษ 2530 กรุงเทพมหานครและปริมณฑลไม่เพียงเป็นเอกนครที่มี
ความเป็นเอกนครสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่ยังเข้าข่ายการเป็น‘อภิมหานคร’(Mega City) ซึ่งหมายถึงเมืองที่
มีประชากร 10 ล้านคนขึ้นไปอีกด้วย กระบวนการเป็นเมืองในภาคกลางก้าวหน้าไปอีกขั้นเมื่อการพัฒนาแบบ
เมืองมีลักษณะกระจัดกระจายมากยิ่งขึ้น (Sprawling) มิได้จำกัดอยู่แต่ในเขตเมือง ชานเมือง หรือตามทาง
หลวงสายหลักๆ เท่านั้น การพัฒนาแบบเมืองเกิดขึ้นได้ทุกที่ที่เส้นทางคมนาคมไปถึง ลักษณะเด่นของ
กระบวนการขยายเมืองคือการพัฒนาเป็นเส้นตรง (Linear Development) และการพัฒนาแบบขาดช่วง
(Leapfrogging Development) แบบแรก คือการพัฒนาที่เกาะยาวไปตามเส้นทางคมนาคมโดยการพัฒนา

10

เมืองมีรูปร่างแคบยาวขนานไปกับถนนแต่ที่พื้นที่ถัดออกไปยังไม่ได้รับการพัฒนาและเป็นที่เกษตรหรือที่รกร้าง
แบบที่สองการพัฒนาที่ไม่ประติดประต่อเป็นผืนต่อเนื่อง แปลงที่ดินมีราคาสูง หรือพื้นที่ที่เข้าไม่ถึงจะถูกเว้นไว้
(5) สถานการณ์ความเป็นเมืองของจังหวัดนครปฐม

7
นครปฐมเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางปริมณฑล ตั้งอยู่บริเวณที่ลุ่มแม่น้ำท่าจีนมี
บริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางจำนวน 7 อำเภอ จากการศึกษาความเป็นเมืองของจังหวัดนครปฐมและพื้นที่ใกล้เคียง
(รัฐพล อ้นแฉ่ง, 2557) พบว่านครปฐมมีความโดดเด่นหลายประการ เนื่องจากเป็นเมืองที่มีมาแต่โบราณ
ย้อนกลับไปถึงสมัยทวารวดี อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เป็นเมืองแห่งการศึกษา (มีสถาบันอุดมศึกษา 8 แห่ง)
เศรษฐกิจของนครปฐมมีภาคอุตสาหกรรมเป็นหลักในการขับเคลื่อนโดยมีอุตสาหกรรมอาหารเป็นอุตสาหกรรม
ที่สำคัญ ในปี พ.ศ. 2561 มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 917,053 คน มีประชากรในเขตเทศบาลจำนวน 290,736 คน
ซึ่งเพิ่มจากปี พ.ศ. 2556 จำนวน 19,401 คน ประชากรของจังหวัดที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนโรงงานอุตสาหกรรม
และอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของคนกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง ส่งผลให้เกิดปัญหาการสะสมขยะมูล
ฝอย การใช้พลังงานสูงมากขึ้น มีการขยายตัวของเมืองที่ชัดเจนในบริเวณทิศตะวันออกในพื้นที่ของอำเภอพุทธ
มณฑล อำเภอนครชัยศรีและอำเภอสามพรานซึ่งขยายตัวต่อเนื่องจากกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก นอกจากนี้ยัง
ขยายตัวตามความต้องการที่อยู่อาศัยของประชากรในพื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ในเขตอำเภอเมือง อำเภอกำแพงแสน
และอำเภอบางเลน ในอนาคตจำนวนประชากรในเขตเมืองของจังหวัดนครปฐมจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3) การจัดลำดับชั้นและการแบ่งขนาดของเมือง
การจัดลำดับชั้นของเมือง (Hierarchy) เป็นการแสดงลำดับชั้นกิจกรรมของมนุษย์ในถิ่นฐาน
ไม่ว่ากิจกรรมนั้นจะเกี่ยวข้องกับพื้นที่หรือไม่ก็ตาม โดยเป็นความสัมพันธ์เชิงพื้นที่กับรูปแบบการตั้งถิ่นฐานของ
มนุษย์ ระหว่างการเกาะกลุ่มและการเข้าถึงโดยสะดวก บริเวณใดดีกว่าการเกาะกลุ่ม (Grouping) กิจกรรมต่างๆ
ของมนุษย์มีแนวโน้มที่จะเกาะกลุ่มกันเพื่อความได้เปรียบจากการรวมกลุ่มกันอยู่ภายในแหล่งเดียวกัน เช่น บริเวณ
ที่พักอาศัย บริเวณการค้า บริเวณพักผ่อนและนันทนาการ เป็นต้น การเกาะกลุ่ม จะช่วยให้เกิดการประหยัดและ
เกิดศูนย์รวมขึ้น การเกาะกลุ่มกันของกิจกรรมภายในบริเวณการตั้งถิ่นฐานหนึ่งๆ จึงอาจพิจารณาในรูปของการ
รวมกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบๆ ทำเลต่างๆ ภายในเขตตัวเมืองจะเห็นได้ชัด อาทิ ศูนย์การค้า ย่าน
อุตสาหกรรมและเขตที่พักอาศัยล้วนได้ผลประโยชน์จากการเกาะกลุ่มกันทั้งสิ้น ซึ่งแนวคิดและทฤษฎีที่
เกี่ยวข้องกับงานวิจัย ได้แก่
กฎขนาด-ลำดับของเมือง ซิฟฟ์ (Zipf, 1994 อ้างถึงใน Northam, 1979 :128-132)
เสนอแนวคิดขนาดและลำดับของเมือง โดยใช้จำนวนประชากรเมืองเพียงอย่างเดียวเป็นเกณฑ์ โดยมี
หลักเกณฑ์ว่าขนาดเมืองซึ่งวัดจากจำนวนประชากรสามารถจัดลำดับความสำคัญและแสดงการกระจายตัวของ
เมืองได้

7
ความเป็นเมืองของจังหวัดนครปฐมและพื้นที่ใกล้เคียง โดยรัฐพล อ้นแฉ่ง หน้า 14-25 2558 นครปฐม

11

ทฤษฎีแหล่งกลาง (Central Place Theory) ถ้าพิจารณาจัดอันดับขนาดของการตั้งถิ่นฐาน
ตามกฎขนาดอันดับหรือตามกฎเอกนครอย่างละเอียดนั้นเป็นการมองขนาดของการตั้งถิ่นฐานในแนวตั้งฉาก
(Vertical Arrangement) และใช้จำนวนประชากรเป็นหลักเกณฑ์อย่างเดียว ซึ่งตรงกันข้ามกับทฤษฎีแหล่งกลาง
ซึ่งจะมองลักษณะของการตั้งถิ่นฐานในแนวนอน (Horizontal Arrangement) และเพิ่มบทบาทหนึ่งเข้ามาใช้
ในการแบ่งประเภทของการตั้งถิ่นฐานในแนวนอน โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ (1) ลักษณะยาวรี
(Linear Pattern) ลักษณะการตั้งถิ่นฐานดังกล่าวอาจตั้งอยู่ตามเส้นทางคมนาคมต่างๆ ซึ่งเป็นลำน้ำ ทางเดิน
หรือถนน โดยเป็นศูนย์กลางสำหรับการประกอบกิจกรรมต่างๆ (2) ลักษณะรวมกลุ่ม (Cluster Pattern) ส่วนใหญ่
เป็นแหล่งที่ประกอบกิจกรรมพิเศษต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมเหมืองแร่ และการท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งกิจกรรม
ดังกล่าวเกิดจากความได้เปรียบทางธรรมชาติหรือขึ้นอยู่กับแหล่งทรัพยากรเป็นสำคัญ และ (3) ลักษณะทั่วไป
(Uniform Pattern) ลักษณะการตั้งถิ่นฐานรูปแบบนี้มักเป็นศูนย์กลางการบริการต่างๆ และโดยทั่วไปจะ
กระจายอยู่ในบริเวณกว้างเพราะขึ้นอยู่กับบทบาทหน้าที่ของศูนย์กลางเท่านั้น
นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาการกำหนดขนาดและจัดลำดับชั้นของเมือง อาทิ ในปี
ค.ศ.1933 (พ.ศ.2476) วอลเตอร์ คริสตอลเลอร์ (Walter Christaller) ได้นำเสนอวิทยานิพนธ์เพื่อรับปริญญา
เอกในหัวข้อ “แหล่งกลางทางตอนใต้ของเยอรมัน” เขาเป็นเสมือนผู้นำกลุ่มโดยได้รับแรงกระตุ้นจากผลงาน
ของฟอน ทูแนน (Von Thunen) โดยได้วิเคราะห์ว่าเมืองแต่ละเมืองมีขนาดพื้นที่บริการ (Trade Area) ไม่
เท่ากัน มีขนาดใหญ่หรือเล็กไปตามลำดับพันธกิจของเมืองนั้นๆ (Hierarchical Functions) เมืองที่ใหญ่กว่าจะ
มีบริการสินค้าที่หายากที่ดึงดูดลูกค้าจากระยะทางไกลๆ มากประเภทกว่าเมืองเล็กที่มีสินค้าหาง่ายและมีเขต
การขายที่จำกัดกว่า เมื่อนำขนาดพื้นที่บริการของเมืองต่างๆ เหล่านี้มาต่อเรียงกันจะได้พื้นที่บริการเป็นรูปหก
เหลี่ยมด้านเท่าเรียงต่อเนื่องกันไป โดยมีพื้นที่บริการของเมืองใหญ่ซ้อนครอบอยู่บนพื้นที่บริหารของเมืองเล็ก
(Chirstaller.W, 1933)
4) หน้าที่และความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับการบริการ
จัดการเมืองของประเทศไทย
(1) วิวัฒนาการการปกครองส่วนท้องถิ่น
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 ได้มีการจัดตั้งหน่วยการ
ปกครองท้องถิ่นในปี พ.ศ. 2476 ซึ่งได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2476 ทำให้มีเทศบาลเกิดขึ้น มี
การจัดตั้งสภาจังหวัดเพื่อทำหน้าที่ให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาแก่ข้าหลวงประจำจังหวัดหรือการบริหาร
กิจการของจังหวัด นับเป็นก้าวหนึ่งที่รัฐบาลได้พิจารณาเห็นว่าการประกอบกิจการของเทศบาลมีภาระหน้าที่
อันสำคัญร่วมกับรัฐบาลในการปกครองส่วนภูมิภาค ในปี พ.ศ.2495 ได้มีการรื้อฟื้นระบบสุขาภิบาลซึ่งได้ระงับ
ไปเป็นเวลานานขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ รัฐบาลได้จัดให้มีการตั้งสุขาภิบาลขึ้นในท้องที่ต่างๆ ซึ่งยังไม่มีฐานะเป็น
ชุมชนเทศบาลแต่เป็นเขตท้องที่ที่มีรายได้ เป็นชุมชนซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอต่างๆ จึงให้มีฐานะเป็นเขตการ
ปกครองสุขาภิบาลขึ้น ในปี พ.ศ.2598 หลังจากที่ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีของรัฐบาล
ในขณะนั้นได้พิจารณาเห็นว่าประชาชนควรมีสิทธิในการปกครองตนเองอย่างเต็มที่ตามครรลองของการ

12

ปกครองระบบประชาธิปไตย จึงดำริให้มีการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ขึ้น โดยรัฐบาลด้วยความ
เห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัดปี พ.ศ. 2498
ต่อมาในปี พ.ศ. 2499 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนตำบล พ.ศ.2499 เป็นผลให้มี
การจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ขึ้นเพื่อให้การปกครองระดับตำบลมีความเจริญ มีรายได้ และมีการ
ปกครองตนเองเกิดขึ้นในรูปขององค์การบริหารส่วนตำบล และในปี พ.ศ.2515 หน่วยการปกครองระดับ
องค์การบริหารส่วนตำบลก็จำเป็นต้องถูกยุบเลิกไปโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 326
ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2515 ในปี พ.ศ.2518 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ
กรุงเทพมหานครขึ้น เป็นผลให้กรุงเทพมหานครเป็นรูปแบบการปกครองพิเศษตามระบบการปกครองท้องถิ่น
อีกรูปหนึ่ง หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงโดยการรวมเทศบาลกรุงเทพและธนบุรีเข้าด้วยกันและมีฐานะเป็น
เทศบาลกรุงเทพธนบุรี ในที่สุดกรุงเทพมหานครก็คือหน่วยการปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษในปี พ.ศ.2521
รวมทั้งการออกพระราชบัญญัติการปกครองเมืองพัทยา พ.ศ.2521 เป็นผลให้พัฒนาเป็นเขตการปกครอง
ท้องถิ่นและเป็นรูปการปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษอีกรูปแบบหนึ่ง
(2) รูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่น
ประเภทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักของการกระจายอำนาจทางการ
ปกครอง (Decentralization) คือการจัดระเบียบการปกครองซึ่งรัฐหรือส่วนกลางมอบอำนาจหน้าที่ในการ
ให้บริการสาธารณะบางอย่างซึ่งเดิมราชการบริหารส่วนกลางเป็นผู้ดำเนินงานอยู่ในท้องถิ่นให้ท้องถิ่นรับไป
ดำเนินการด้วยงบประมาณและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น โดยราชการบริหารส่วนกลางเพียงแต่กำกับดูแลเท่านั้นไม่ได้
เข้าไปบังคับบัญชา สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ (1) การ
ปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วไปมี 3 รูปแบบ ซึ่งในแต่ละรูปแบบมีการกำหนดลักษณะหรือองค์ประกอบให้เป็น
มาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ คือมีกฎหมายกำหนดวิธีการในการจัดตั้ง รูปแบบการบริหารจัดการ อำนาจ
หน้าที่ วิธีการในการจัดทำบริการสาธารณะ การบริหารงานบุคคล การคลังและงบประมาณเป็นแบบแผน
เดียวกันทั่วประเทศ และ (2) การปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษ กรุงเทพมหานครและพัทยาเป็นองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษคือมีลักษณะหรือองค์ประกอบบางประการแตกต่างไปจากองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นทั่วๆ ไป ความแตกต่างนี้สืบเนื่องจากลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นนั้นๆ เช่น เป็นท้องถิ่นที่มีความเจริญ
ทางเศรษฐกิจมาก เป็นท้องถิ่นที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น หรือเป็นท้องถิ่นที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มี
ชื่อเสียงมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เป็นต้น โดยลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นนั้นทำให้การใช้รูปแบบการบริหาร
จัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไปไม่เหมาะสม ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของ
ประชาชนในท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องมีการคิดค้นรูปแบบการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
รูปแบบพิเศษขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าว โดยโครงสร้างการบริหารขององค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นแบ่งออกได้ดังนี้

13

(2.1) รูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วไป ได้แก่
• องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มีโครงสร้างการบริหาร คือ
สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้กำกับดูแล
• เทศบาล มีโครงสร้างการบริหาร คือสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี
โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้กำกับดูแล
• องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) มีโครงสร้างการบริหาร คือ
สภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้กำกับดูแล
(2.2) รูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นแบบพิเศษ มี 2 แห่ง คือ
• กรุงเทพมหานคร มีโครงสร้างการบริหารคือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
สภากรุงเทพมหานครและสภาเขต
• เมืองพัทยา มีโครงสร้างการบริหาร คือสภาเมืองพัทยา และนายก
เมืองพัทยา
(3) องค์ประกอบของการปกครองส่วนท้องถิ่น
นับตั้งแต่การปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทยได้เริ่มวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพมหานครในปี
พ.ศ. 2440 จนกระทั่งปัจจุบันรัฐได้มอบอำนาจให้ท้องถิ่นปกครองตนเอง (Devolution) ซึ่งเป็นกรรมวิธีของ
การกระจายอำนาจทางการปกครอง (Decentralization ) ดังนั้นระบบการปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องมี
องค์ประกอบสำคัญ โดยสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง
คณะกรรมการปรับปรุงการบริหารการปกครองท้องถิ่น ตามคำสั่งที่ 263/2535 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.
2535 เพื่อศึกษาระบบการบริหารการปกครองท้องถิ่นของไทยที่ดำเนินการอยู่ในทุกรูปแบบ หาแนวทางและ
ข้อเสนอในการปรับปรุงโครงสร้างอำนาจหน้าที่ การคลัง และงบประมาณ ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่าง
รัฐบาล หน่วยงานราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคกับหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น โดยกล่าวถึง
องค์ประกอบการปกครองส่วนท้องถิ่นไว้ดังนี้เป็นองค์กรที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล และทบวงเมือง
• มีสภาและผู้บริหารระดับท้องถิ่นมีที่มาจาการเลือกตั้งตามหลักการที่บัญญัติ
ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ
• มีอิสระในการปกครองตนเอง
• มีเขตการปกครองที่ชัดเจนและเหมาะสม
• มีงบประมาณรายได้ที่เป็นของตนเองอย่างเพียงพอ
• มีบุคลากรปฏิบัติงานของตนเอง
• มีอำนาจท้องที่ที่เหมาะสมต่อการให้บริการ

14

• มีอำนาจออกข้อบังคับเป็นกฎหมายของท้องถิ่นภายใต้ขอบเขตของกฎหมายแม่บท
• มีความสัมพันธ์กับส่วนกลางในฐานะเป็นหน่วยงานระดับรองของรัฐ
(4) องค์การบริหารส่วนจังหวัด
การจัดรูปองค์การบริหารส่วนจังหวัดซึ่งเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบหนึ่งที่
ใช้ในปัจจุบันได้มีการปรับปรุงแก้ไขและวิวัฒนาการมาตามลำดับโดยจัดให้มีสภาจังหวัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี
พ.ศ.2476 ตามความในพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ.2476 ฐานะของสภาจังหวัดตาม
พระราชบัญญัตินี้มีลักษณะเป็นองค์กร ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหารือและให้คำแนะนำแก่กรรมการจังหวัดโดยยัง
มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่แยกต่างหากจากราชการบริหารส่วนภูมิภาค ต่อมาในปี พ.ศ.2481 ได้มีการตรา
“พระราชบัญญัติสภาจังหวัด” โดยมีความประสงค์เพื่อแยกกฎหมายเกี่ยวกับสภาจังหวัดไว้โดยเฉพาะแต่สภา
จังหวัดยังทำหน้าที่เป็นสภาที่ปรึกษาของกรรมการจังหวัดเช่นเดิม จนกระทั่งได้มีการประกาศให้
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2495 ซึ่งกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้า
ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบการบริหารราชการในจังหวัดของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ทำ
ให้อำนาจของกรรมการจังหวัดเป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งผลแห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ทำให้สภา
จังหวัดมีฐานะเป็นสภาที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย ต่อมาได้เกิดแนวคิดปรับปรุงบทบาทของสภาที่
ปรึกษาของสภาจังหวัดให้มีประสิทธิภาพและให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนในการปกครองตนเองยิ่งขึ้นอันมีผล
ให้เกิด “องค์การบริหารส่วนจังหวัด” ขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ.2498
ซึ่งกำหนดให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคลแยกจากจังหวัดซึ่งเป็นการบริหารส่วนภูมิภาค
และประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 ลงวันที่ 29 กันยายน พ.ศ.2515 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทว่าด้วยการจัด
ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินได้กำหนดให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยงานปกครองท้องถิ่น
รูปหนึ่งจนถึงปัจจุบัน

8
(5) เทศบาล
(5.1) กำเนิดเทศบาลในประเทศไทย
นักวิชาการส่วนใหญ่ที่ศึกษาเรื่องเทศบาลในประเทศไทยมองว่าเทศบาลมา
จาก “พัฒนาการของสุขาภิบาล” กล่าวคือมองว่าเทศบาลในปัจจุบันจะมีไม่ได้เลยหากไม่มีการเกิดขึ้นของ
สุขาภิบาล เพราะเทศบาลถือเป็นผลพวงประการสำคัญของสุขาภิบาลซึ่งเป็นหน่วยการปกครองคล้ายการ
ปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบแรกก่อนเทศบาลเสียอีก นักวิชาการในกลุ่มนี้ได้ยกตัวอย่างเพื่อสนับสนุนแนวคิด
ของตนดังกล่าวว่าในระหว่างรัชกาลที่ 5 ถึง รัชกาลที่ 7 ประเทศไทยมีสุขาภิบาลตามหัวเมืองต่างๆ จำนวน
ทั้งสิ้น 35 แห่ง ในระยะนี้สุขาภิบาลแทบไม่มีการขยายตัวในแง่ของจำนวน จนทำให้พระบาทสมเด็จ

8
เทศบาล นายวิรัช ถิรพันธุ์เมธี ส านักงานราชบัณฑิตสภา จดหมายข่าวราชบัณฑิตสถาน ปีที่ 6 ฉบับที่ 57 2539
เข้าถึงจาก www.royin.go.th เข้าถึงเมื่อ 11 ธันวาคม 2562

15

พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริเพื่อกระจายอำนาจให้มากขึ้น จึงได้ทรงแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา
คณะหนึ่งเพื่อศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งเทศบาลขึ้นในประเทศไทยอันเป็นแนวคิดที่ประสงค์ให้
เทศบาลขึ้นมาทำหน้าที่สุขาภิบาลที่มีอยู่
การจัดตั้งเทศบาลในประเทศไทยมีเหตุผล 3 ประการ คือ (1) จัดตั้งเทศบาล
เพื่อให้สอดคล้องกับการเมืองการปกครองในระดับชาติที่เป็นประชาธิปไตย กล่าวคือเมื่อการปกครองใน
ระดับชาติเป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งผู้แทนราษฎรของ
ตนเข้าไปทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติและทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ มีการแบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3
ส่วน ได้แก่ อำนาจในทางนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ดังนั้นการปกครองในระดับท้องถิ่นที่
ใกล้ชิดกับประชาชน จึงจำเป็นต้องมีขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับระบบประชาธิปไตยในระดับชาติ โดยที่องค์กร
เทศบาลเป็นองค์กรทางการเมืองแรกที่เปิดโอกาสให้ประชาชนในท้องถิ่นปกครองตนเองได้อย่างเต็มที่ตาม
หลักการกระจายอำนาจ อีกทั้งยังมีการล้อโครงสร้างของการเมืองในระดับชาติมาจำลองไว้ในเทศบาลด้วย คือ
การแบ่งแยกฝ่ายบริหาร และฝ่ายสภาที่ทำหน้าที่ในการเทศบัญญัติออกจากกัน และทำหน้าที่ตรวจสอบและ
ถ่วงดุลซึ่งกันและกัน นอกจากนี้การจัดตั้งเทศบาลยังต้องสอดคล้องกับระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของ
ประเทศซึ่งแบ่งการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ การบริหารราชการส่วนกลาง การบริหาร
ราชการส่วนภูมิภาค และการบริหารส่วนท้องถิ่น (2) จัดตั้งเทศบาลเพื่อเป็นการแบ่งเบาภารกิจของรัฐบาล
เนื่องจากภารกิจของรัฐบาลมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถควบคุมดูแลหรือบรรเทาความเดือดร้อนของ
ประชาชนครอบคลุมพื้นที่ ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องมีหน่วยงานหรือองค์กรทางการเมืองอื่นๆ เพื่อช่วยแบ่งเบา
ภาระหน้าที่ส่วนกลางและทำให้ประชาชนในท้องถิ่นได้รับการบริการจากภาครัฐได้รวดเร็วและทั่วถึงยิ่งขึ้น
นอกจากการแบ่งเบาภารกิจของรัฐบาลแล้วยังก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่รัฐบาลได้อีกส่วนหนึ่งคือ “แรง
สนับสนุนทางการเมือง” ที่รัฐบาลในขณะนั้นจะได้รับมากขึ้น เนื่องจากเมื่อรัฐบาลได้แบ่งภาระหน้าที่บางอย่าง
ไปให้แก่เทศบาลแล้ว เทศบาลจะทำหน้าที่ในการให้บริการขั้นพื้นฐานแก่ประชาชนในเขตเทศบาล เนื่องจาก
สามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนได้ เมื่อเปรียบเทียบกับการปกครองในระบบเก่าที่ไม่เปิดโอกาส
ให้ประชาชนเข้ามาปกครองตนเอง และ (3) จัดตั้งเทศบาลเพื่อเป็นสนับสนุนการฝึกประชาธิปไตยให้แก่
ประชาชนเนื่องจากในขณะนั้นเพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น
ระบอบประชาธิปไตยได้เพียง 1 ปี ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอในการ
ปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง ดังนั้นการจัดตั้งเทศบาลที่มี
โครงสร้างล้อมาจากการปกครองในระดับชาติ จึงเป็นเสมือนสถาบันหนึ่งที่จะช่วยให้ประชาชนในท้องถิ่นมีความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองมากขึ้น
หากพิจารณาถึงเหตุผลต่างๆ ของการจัดตั้งเทศบาลแล้วจะพบว่าในระยะ
เริ่มต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเมืองในระดับชาติมากกว่าการมีเทศบาลเพื่อทำหน้าที่ด้าน
การให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนตามหลักการจัดการปกครองท้องถิ่นในปัจจุบัน เทศบาลเป็นการปกครอง
ท้องถิ่นรูปแบบหนึ่งของไทย ตามหลักการกระจายอำนาจ กล่าวคือราชการบริหารส่วนกลางกระจายอำนาจไป

16

ให้ประชาชนในท้องถิ่นมีอิสระในการปกครองตนเองภายในขอบเขตที่กฎหมายกำหนด เป็นการปูพื้นฐานการ
ปกครองระบอบประชาธิปไตยภายใต้ระบบรัฐสภาเพราะเป็นการจำลองรูปแบบการปกครองประเทศมาใช้ใน
ท้องถิ่น ปัจจุบันเทศบาลจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ซึ่งได้กำหนดให้การจัดตั้ง การ
เปลี่ยนชื่อ การเปลี่ยนแปลงเขต หรือการเปลี่ยนฐานะของเทศบาลให้ตราไว้ในพระราชกฤษฎีกา
(5.2) ระดับของเทศบาล
เทศบาลมีฐานะเป็นนิติบุคคล แบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ เทศบาลตำบล
เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร อย่างไรก็ตามเทศบาลทั้ง 3 ระดับมีโครงสร้างเหมือนกัน คือประกอบด้วย สภา
เทศบาล (ซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้งของประชาชนในเขตเทศบาลนั้น) และคณะเทศมนตรี (นายกเทศมนตรี
และเทศมนตรีอีกจำนวนหนึ่ง) โดยมีความแตกต่างกันด้านสถานที่ตั้งหรือจำนวนประชากรเท่านั้น
เทศบาลตำบล จัดตั้งขึ้นในท้องถิ่นที่มีความเจริญและความสามารถ
พอสมควร โดยทั่วไปจะตั้งขึ้นในท้องถิ่นของอำเภอต่างๆ ที่มิใช่อำเภอเมืองหรือท้องถิ่นอันเป็นที่ตั้งศาลากลาง
จังหวัด เช่น เทศบาลตำบลโพธิ์ทอง ตั้งอยู่ที่อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง เป็นต้น เทศบาลตำบลมีสมาชิก
เทศบาลจำนวน 12 คน มีคณะเทศมนตรีจำนวน 3 คน (นายกเทศมนตรีและเทศมนตรีอีก 2 คน) เป็นต้น
เทศบาลเมือง จัดตั้งขึ้นในท้องถิ่นอันเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดหรือท้องถิ่น
ชุมชนที่มีประชากรตั้งถิ่นฐานอยู่ตั้งแต่ 10,000 คนขึ้นไป โดยประชากรมีความหนาแน่นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3,000
คน/ตารางกิโลเมตร ทั้งมีรายได้พอสมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่อันต้องทำ เทศบาลเมืองมีสมาชิกสภาเทศบาลได้ 18
คน มีคณะเทศมนตรีได้ 3 คน ส่วนใหญ่เทศบาลเมืองตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองเพราะเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัด
ดังนั้นในแต่ละจังหวัดอย่างน้อยจะมีเทศบาลเมือง 1 แห่ง อย่างไรก็ตาม เทศบาลเมืองอาจจัดตั้งขึ้นในท้องถิ่น
อำเภออื่นนอกจากอำเภอเมืองก็ได้ ปัจจุบันมีเทศบาลเมืองทั้งสิ้น 87 แห่ง
เทศบาลนคร ตั้งขึ้นในท้องถิ่นชุมชนที่มีประชากรตั้งถิ่นฐานอยู่ตั้งแต่
50,000 คนขึ้นไปโดยมีความหนาแน่นเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 3000 คน/ตารางกิโลเมตร รวมทั้งมีรายได้พอสมควร
แก่การปฏิบัติหน้าที่อันต้องทำ เทศบาลนครมีสมาชิกสภาพเทศบาลจำนวน 24 คน และมี
คณะเทศมนตรีจำนวน 5 คน (นายกเทศมนตรีและเทศมนตรี 4 คน) เทศบาลนครจะจัดตั้งขึ้นในท้องถิ่นชุมชน
เมืองใหญ่ๆ ที่มีประชากรหนาแน่นในปี พ.ศ.2478 ประเทศไทยมีเทศบาลนครจำนวน 3 แห่ง คือ เทศบาลนคร
กรุงเทพ เทศบาลนครธนบุรี และเทศบาลนครเชียงใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2514 รัฐบาลได้รวมเทศบาลนคร
กรุงเทพกับเทศบาลนครธนบุรีเข้าด้วยกันและตั้งเป็นนครหลวงกรุงเทพธนบุรีแล้วพัฒนามาเป็นการปกครอง
ท้องถิ่นรูปพิเศษเรียกว่า “กรุงเทพมหานคร” จึงทำให้เทศบาลนครเหลือเพียงแห่งเดียวคือเทศบาลนคร
เชียงใหม่ ครั้นถึงปี พ.ศ. 2538 รัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทยได้ตราพระราชกฤษฎีกายกฐานะเทศบาล
เมืองขึ้นเป็นเทศบาลนครอีก 8 แห่ง เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2538 ประกอบด้วยเทศบาลนครราชสีมา
เทศบาลนครนครสวรรค์ เทศบาลนครนครศรีธรรมราช เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลนครอุดรธานี เทศบาล

17

นครยะลา เทศบาลนครนนทบุรี และเทศบาลนครหาดใหญ่ รวมกับที่มีอยู่เดิมจำนวน 1 แห่งคือเทศบาลนคร
เชียงใหม่ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2478 ทำให้มีจำนวนเทศบาลนครรวมทั้งสิ้น 9 แห่ง
(6)
9
การบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่เกี่ยวข้องกับ
การจัดการสิ่งแวดล้อมเมือง
การบริการสาธารณะ หมายถึง การบริหารหรือกิจกรรมที่รัฐจัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์
สาธารณะหรือเพื่อตอบสนองความต้องการของส่วนรวม โดยเป็นกิจการที่อยู่ในความอำนวยการหรือในความ
ควบคุมของฝ่ายปกครองที่จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน อันเป็น
การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนและการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้กับท้องถิ่น รวมถึงการพัฒนา
ประเทศในภาพรวม โดยมีหลักการสำคัญของการจัดบริการสาธารณะคือ ต้องดำเนินการเพื่อก่อให้เกิด
ประโยชน์แก่ส่วนรวม สามารถตอบสนองความต้องการของท้องถิ่น มีความเสมอภาค ความต่อเนื่องและความ
โปร่งใสในการให้บริการ
พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น พ.ศ.2542 กำหนดอำนาจและหน้าที่ในการบริการสาธารณะให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล เมือง
พัทยา องค์การบริหารส่วนตำบล และกรุงเทพมหานคร มีอำนาจหน้าที่ในการจัดบริการสาธารณะให้เป็นไปตามที่
ได้รับมอบหมาย และกำหนดให้รัฐบาลเป็นผู้จัดสรรเงินอุดหนุนและเงินจากการจัดสรรภาษีและอากรเพื่อให้การ
ดำเนินการบริการสาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยภารกิจที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการถ่าย
โอนจากรัฐแบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก คือ (1) ด้านการจัดบริการสาธารณะที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การ
สร้างถนน ทางระบายน้ำ ไฟฟ้าสาธารณะ และการบริหารจัดการแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร เป็นต้น (2) ด้านการ
ส่งเสริมคุณภาพชีวิต เช่น การบริการศูนย์พัฒนาเด็ก การบริการสาธารณสุขมูลฐาน การจัดการศึกษาท้องถิ่น และ
การบริการสถานที่พักผ่อนหย่อยใจในท้องถิ่น เป็นต้น (3) ด้านการจัดระเบียบชุมชน สังคม และรักษาความสงบ
เช่น การป้องกันอุบัติภัยทางถนน การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการจัดบริการห้องน้ำสาธารณะใน
ท้องถิ่น เป็นต้น และ (4) ด้านการลงทุน ทรัพยากร สิ่งแวดล้อมและศิลปวัฒนธรรม เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยว
และอาชีพ การพัฒนาป่าชุมชน และการส่งเสริมศาสนา วัฒนธรรม และจารีตประเพณีท้องถิ่น เป็นต้น

10
จากการศึกษาของขวัญฤดี จันทิมา (2557) ซึ่งศึกษาการนำนโยบายการจัดการ
สิ่งแวดล้อมด้านการจัดการขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พบว่าการขยายตัวของชุมชนจนเกิด
เป็นเมืองก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ได้แก่ ปัญหาน้ำเน่าเสีย อากาศเป็นพิษ ขยะชุมชนและขยะ
อันตราย ความเสื่อมสลายของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น นอกจากเกิดจากการที่ทรัพยากร

9
จาก“การบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” เรียบเรียงโดย นายสันต์ชัย รัตนะขวัญ
http://www.wiki.kpi.ac.th เข้าถึงเมี่อวันที่ 6 มกราคม 2563
10
จาก “การน านโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปปฏิบัติวิเคราะห์การจัดการขยะของ
เทศบาลและองค์การบริหารส่วนต าบลในจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดอ านาจเจริญ” ขวัญฤดี จันทิมา และ ดร.อรทัย
เสียงจินดาถาวร 2557 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร ปีที่ 6 หน้า 107-120

18

ตามธรรมชาติต่างๆ ถูกตักตวงมาใช้ประโยชน์ในการผลิตทั้งเพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรมแล้ว
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังถูกใช้เป็นแหล่งรองรับมลพิษและของเสียจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์
ดังนั้นจึงต้องมีหน่วยงานที่ดำเนินการบริหารจัดการขยะ ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งดำเนินการตาม
นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมกับกฏหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อการจัดการขยะที่มีความแตกต่างกันไปตามขนาด
ของ อปท. และสภาพปัญหาของท้องถิ่นและข้อจำกัดต่างๆ รวมทั้งการดำเนินการกำจัดขยะในสถานที่ของ
อปท. จำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นระบบกำจัดไม่ถูกหลักสุขาภิบาลโดยนำขยะไปเทรวมในหลุมขยะเท่านั้น
แม้ว่า อปท. ส่วนใหญ่เริ่มมีกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการขยะในหลายรูปแบบแต่มัก
จำกัดในชุมชนนำร่องซึ่งเป็นการดำเนินการเฉพาะบางชุมชน
การจัดการขยะของ อปท. เป็นไปตามนโยบายของผู้บริหารระดับท้องถิ่น ได้แก่
ผู้บริหารของเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล มีมาตราการและแนวทางการปฏิบัติที่กำหนดไว้ในแผน
จัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2550-2554 ไปปรับใช้ตามความเหมาะสมของสภาพปัญหาและพื้นที่โดย
กำหนดเป็นโครงการและกิจกรรมเพื่อบรรจุไว้ในแผนพัฒนา 3 ปีของ อปท. ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนา
จังหวัด ตามสถานการณ์ในพื้นที่และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ซึ่งการจัดการขยะของ อปท.ใน
จังหวัดอุบลราชานีและจังหวัดอำนาจเจริญ โดยแบ่งตามขนาดของเทศบาลตั้งแต่เทศบาลขนาดใหญ่ เทศบาล
ขนาดกลาง และเทศบาลขนาดเล็ก และ อบต. ในการจัดการขยะของ อปท.ในจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัด
อำนาจเจริญ ซึ่งการจัดการขยะมีความสำคัญต้องจัดการความรู้ทางวิชาการ เทคโนโลยี กำลังคน ทรัพยากร
และการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งมีวิธีการจัดการขยะที่หลากหลาย เช่น การฝังกลบ การนำขยะอินทรีย์มา
ทำปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพและแก๊สชีวภาพ ขยะรีไซเคิล เผาในเตาเผาขยะ และเทคโนโลยีการจัดการขยะ
มูลฝอยเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ก่อให้เกิดความพึงพอใจในการจัดการขยะมูลฝอยของ อปท.
กิจกรรมต่างๆ ภายใต้ปัญหาและอุปสรรคของการนำนโยบายไปปฏิบัติที่จะต้องหาแนวทางแก้ไขตั้งแต่ระดับ
หน่วยงานจนถึงกลุ่มบุคคลที่นำนโยบายไปปฏิบัติ
2.ขยะมูลฝอยชุมชนในเมือง
1) ความหมายของขยะมูลฝอยชุมชนในเมือง
ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ให้ความหมายของ“ขยะมูลฝอย”
หรือ “มูลฝอย” หมายถึง เศษกระดาษ เศษผ้า เศษอาหาร เศษสินค้า ถุงพลาสติก ภาชนะใส่อาหาร เถ้า มูลสัตว์
หรือซากสัตว์ รวมตลอดถึงสิ่งอื่นใดที่เก็บกวาดจากถนน ตลาด ที่เลี้ยงสัตว์หรือที่อื่น ในขณะที่ Thobanoglous
และคณะ (1993) อ้างถึงใน สุภาภรณ์ ศิริโสภนา (2549) ให้ความหมายของ “Solid Waste” และ
“Municipal Solid Waste” แตกต่างกันเล็กน้อย กล่าวคือ Solid Waste หมายถึง ของเสียทุกชนิดที่เกิดขึ้น
จากกิจกรรมของมนุษย์และสัตว์ ซึ่งโดยปกติเป็นของแข็งหรือกึ่งแข็งและถูกทิ้งให้เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์หรือเป็น
สิ่งที่ไม่ต้องการ และ Municipal Solid Waste หมายถึง ของเสียทุกชนิดที่เกิดขึ้นในชุมชนแต่ไม่รวมของเสียที่
เกิดจากกระบวนการอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม อีกทั้งกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม อ้างถึงใน ฒาลิศา
เนียมมณี (2554) อธิบายว่า ขยะหรือมูลฝอย (Municipal Solid Waste) หมายถึงขยะมูลฝอยที่เกิดจากกิจกรรม

19

ต่างๆ ในชุมชน เช่น บ้านพักอาศัย ธุรกิจร้านค้า สถานประกอบการ สถานบริการ ตลาดสด สถาบันต่างๆ รวมทั้ง
เศษวัสดุก่อสร้าง ทั้งนี้ไม่รวมของเสียอันตรายและมูลฝอยติดเชื้อ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าขยะหรือมูลฝอย หรือมูล
ฝอยชุมชนเป็นคำที่มีความหมายเดียวกันตามที่กรมควบคุมมลพิษ (2548) อ้างถึงในพิศิพร ทัศนา และโชติ บดี
รัฐ (2558) ได้อธิบายว่า ขยะหรือมูลฝอย (Solid Waste) คือ เศษกระดาษ เศษผ้า เศษอาหาร เศษสินค้า เศษ
วัตถุ ถุงพลาสติกภาชนะที่ใส่อาหาร เถ้า มูลสัตว์ ซากสัตว์หรือสิ่งอื่นใดที่เก็บกวาดจากถนน ตลาด ที่เลี้ยงสัตว์
หรือที่อื่นรวมถึงมูลฝอยติดเชื้อ มูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชนหรือครัวเรือน ยกเว้นมูลฝอยที่มี
ลักษณะและคุณสมบัติที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน
2) ลักษณะและองค์ประกอบของขยะมูลฝอยชุมชนในเมือง
สามารถจำแนกประเภทของขยะมูลฝอยในเขตชุมชนได้หลายรูปแบบ โดยอ้างถึงใน
สุภาภรณ์ ศิริโสภนา (2549) ชนิดา เพชรทองคำ และคนอื่นๆ (2554) และฒาลิศา เนียมมณี (2554) ได้แก่
(1) จำแนกตามลักษณะที่มองเห็น/กายภาพ เช่น ขยะมูลฝอยเปียก (Garbage)
ขยะมูลฝอยแห้ง (Refuse) เถ้าถ่าน (Ashes) เศษมูลฝอยบนถนน (Street Sweeping) ซากยานพาหนะ
(Abandoned Vehicles) ขยะมูลฝอยจากโรงงาน (Industrial Waste) ขยะมูลฝอยจากการก่อสร้างและสิ่งรื้อถอน
(Construction Waste) ขยะมูลฝอยจากน้ำโสโครก (Sludge Waste) ขยะมูลฝอยจากซากสัตว์ (Dead
Animals) ขยะมูลฝอยจากเกษตรกรรมและสัตว์เลี้ยง (Animal and Agricultural) ขยะมูลฝอยขนาดใหญ่
(Bulky Waste) และขยะมูลฝอยอันตราย (Hazardous Waste) เป็นต้น
(2) จำแนกตามแหล่งกำเนิดของขยะมูลฝอย ได้แก่ ขยะจากชุมชน บ้านพักอาศัย
ร้านค้า หน่วยงานหรือสถาบันการศึกษา พื้นที่ก่อสร้างและรื้อถอน กิจกรรมการให้บริการของเทศบาล (การจัด
สวนและตกแต่งกิ่งต้นไม้ เป็นต้น) สถานที่บำบัดหรือกำจัดของเสีย โรงงานอุตสาหกรรม และพื้นที่ทำการ
เกษตรกรรม เป็นต้น
(3) จำแนกตามความเป็นอันตราย แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ ขยะมูลฝอยชุมชน
ของเสียอันตรายจากชุมชน และขยะมูลฝอยติดเชื้อ
(4) จำแนกตามวิธีการจัดการขยะ เช่นที่ระบุไว้ในข้อบังคับกรุงเทพมหานครว่าด้วย
หลักเกณฑ์การจัดการมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลของอาคารสถานที่และสถานบริการสาธารณสุข พ.ศ. 2545 ได้แบ่ง
ขยะออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ มูลฝอยทั่วไป มูลฝอยที่ย่อยสลายได้ มูลฝอยที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ และมูลฝอย
อันตราย
ดังนั้นการศึกษานี้จึงแบ่งประเภทของขยะมูลฝอยชุมชนตามที่สำนักจัดการกากของเสีย
และสารอันตรายได้จำแนกตามลักษณะทางกายภาพออกเป็น 4 ประเภทคือ (กรมควบคุมมลพิษ (2555) อ้าง
ถึงใน ปิยชาติ ศิลปสุวรรณ (2557))
(1) ขยะย่อยสลาย (Compostable Waste) หรือ มูลฝอยย่อยสลาย/อินทรีย์
คือขยะที่เน่าเสียและย่อยสลายได้เร็วสามารถนำมาหมักทำปุ๋ยได้ (Compost) หรือนำไปกำจัดโดยวิธีฝังกลบ

20

อย่างถูกหลักสุขาภิบาล (Sanitary Landfill) เช่น เศษผัก เปลือกผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ เศษเนื้อสัตว์ เป็นต้น
แต่จะไม่รวมถึงซากหรือเศษของพืช ผัก ผลไม้ หรือสัตว์ที่เกิดจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ โดยขยะย่อย
สลายนี้พบมากที่สุดถึง 64% ของปริมาณขยะมูลฝอยทั้งหมดในกองขยะ
(2) ขยะรีไซเคิล (Recyclable Waste) หรือมูลฝอยที่ยังใช้ได้คือของเสียบรรจุภัณฑ์
หรือวัสดุเหลือใช้ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้ เช่น แก้ว กระดาษ เศษพลาสติก กล่องเครื่องดื่ม
แบบ UHT กระป๋องเครื่องดื่ม เศษโลหะ อะลูมิเนียม ยางรถยนต์ เป็นต้น ขยะรีไซเคิลพบมากเป็นอันดับสองใน
กองขยะมูลฝอยโดยมีสัดส่วนประมาณ 30% ของปริมาณขยะมูลฝอยทั้งหมดในกองขยะ
(3) ขยะอันตราย (Hazardous Waste) หรือมูลฝอยอันตรายและเป็นพิษคือขยะที่มี
องค์ประกอบหรือปนเปื้อนวัตถุอันตรายชนิดต่างๆ และมีผลกระทบในระยะยาว ได้แก่ วัตถุระเบิด วัตถุไวไฟ
วัตถุออกซิไดซ์ วัตถุมีพิษ วัตถุที่ทำให้เกิดโรค วัตถุกรรมมันตรังสี วัตถุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง
พันธุกรรม วัตถุกัดกร่อน วัตถุที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง วัตถุอย่างอื่นไม่ว่าเป็นเคมีภัณฑ์หรือสิ่งอื่นใดที่อาจทำ
ให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์สินหรือสิ่งแวดล้อม เช่น ถ่านไฟฉาย หลอดฟลูออเรสเซนที่มีสารปรอท
แบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่ ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ ภาชนะบรรจุสารกำจัดศัตรูพืช กระป๋องสเปรย์บรรจุสีหรือ
สารเคมี เป็นต้น สามารถกำจัดโดยการเผาในเตาเผา ขยะอันตรายมักพบได้น้อยที่สุดมีสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 3
ของปริมาณขยะมูลฝอยทั้งหมดในกองขยะ
(4) ขยะทั่วไป (General Waste) หรือมูลฝอยทั่วไปคือขยะประเภทอื่นนอกเหนือจาก
ขยะย่อยสลาย ขยะรีไซเคิล และขยะอันตราย มีลักษณะย่อยสลายยากและไม่คุ้มค่าสำหรับการนำกลับมาใช้
ประโยชน์ใหม่ เช่น ห่อพลาสติกใส่ขนม ถุงพลาสติกบรรจุผงซักฟอก พลาสติกห่อลูกอม ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
ถุงพลาสติกเปื้อนเศษอาหาร โฟมเปื้อนอาหาร ฟอยล์เปื้อนอาหาร เป็นต้น สำหรับขยะทั่วไปมีปริมาณใกล้เคียง
กับขยะอันตรายคือมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 3 ของปริมาณขยะมูลฝอยทั้งหมดในกองขยะ
3) ผลกระทบของขยะมูลฝอยชุมชนต่อสิ่งแวดล้อมเมือง
ขยะมูลฝอยก่อให้เกิดปัญหาและผลกระทบต่อมนุษย์ทั้งด้านสุขภาพอนามัยของประชาชน
ด้านเศรษฐกิจและสังคม และก่อให้เกิดปัญหาสภาวะมลพิษสิ่งแวดล้อมต่างๆ ดังนี้
(ชูชัย ศุตวงศ์ และคณะอ้างถึงในฒาลิศา เนียมมณี, 2554)
(1) เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม (Pollution) ขยะมูลฝอยเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิด
มลพิษทางสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้แก่ (1) มลพิษทางน้ำ การทิ้งขยะมูลฝอยลงในแม่น้ำ ลำคลอง ทะเล การกองบนดิน
และการฝังกลบอย่างไม่ถูกหลักสุขาภิบาล ทำให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพน้ำของน้ำผิวดินหรือน้ำใต้ดินได้ และ
ผลกระทบมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของมูลฝอยและลักษณะทางภูมิศาสตร์ของบริเวณนั้นๆ (2)
มลพิษทางดิน การทิ้งขยะมูลฝอยกองบนดินหรือการฝังกลบมูลฝอยโดยไม่ถูกวิธีจะทำให้เกิดผลกระทบต่อ
คุณภาพของดิน โดยผลกระทบมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของขยะมูลฝอย และ (3) มลพิษทางอากาศ

21

เกิดจากการเผาขยะมูลฝอยที่อุณหภูมิไม่ถึงจุดที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ เช่น การเกิดก๊าซ
คาร์บอนมอนอกไซด์ และควันจากการเผามูลฝอยทั่วๆ ไป เป็นต้น
(2) เป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคและแหล่งนำโรค (Breeding Places) ขยะมูลฝอย
จะถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์หลายชนิดทั้งที่ก่อให้เกิดโรคและไม่ก่อให้เกิดโรค ยิ่งมีระยะเวลาการหมักหมมของ
มูลฝอยมากขึ้นจำนวนจุลินทรีย์จะเพิ่มมากขึ้น ที่ทิ้งขยะมูลฝอยจึงเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคที่สามารถ
แพร่กระจายสู่สิ่งแวดล้อมได้ ในขณะเดียวกันสัตว์และแมลงนำโรคบางชนิด เช่น แมลงวัน แมลงสาบ และหนู
เป็นต้น อาศัยกองขยะมูลฝอยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร และแหล่งเพาะพันธุ์ ซึ่งสัตว์เหล่านี้เป็นพาหะ
นำโรคไปสู่คนได้
(3) ก่อให้เกิดเหตุรำคาญ (Nuisance) ความรำคาญของขยะมูลฝอยเกิดจากกลิ่นเหม็น
ที่เกิดจากการเน่าเปื่อยของขยะมูลฝอย นอกจากนี้แมลงวัน แมลงสาบ และหนูยังก่อให้เกิดความรำคาญและ
รบกวนความสุขของประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้
(4) ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ (Accident Risk) ขยะมูลฝอยแห้งบางชนิดสามารถเป็น
เชื้อเพลิงได้ดีหากไม่มีความระมัดระวังอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินได้ การเกิดน้ำท่วมขังจากการที่
ขยะมูลฝอยไปอุดตันท่อหรือคูระบายน้ำ หรือการได้รับบาดเจ็บจากเศษแก้วและเศษโลหะที่มีอยู่ทั่วไปบาดหรือ
ทิ่มตำตามร่างกายได้
(5) การสูญเสียทางธุรกิจ/เศรษฐกิจ (Economic Loss) ขยะมูลฝอยที่เพิ่มมากขึ้นทำ
ให้ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวม การขนถ่ายและการกำจัด ถ้าหากมีการจัดการที่ไม่เหมาะสมและไม่
ถูกต้องจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การทิ้งมูลฝอยลงในแม่น้ำลำคลอง ทำ
ให้แหล่งน้ำเน่าเสีย สัตว์น้ำซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติไม่อาจอยู่อาศัยได้ เป็นต้น
(6) ขาดสุนทรียภาพ/ความสวยงาม (Aesthetics) ขยะมูลฝอยที่ถูกทิ้งกระจายให้
เกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นผิวดินและผิวน้ำจะทำให้บริเวณดังกล่าวขาดความสวยงามไม่น่าดู เป็นการทำลายความ
เป็นสง่าราศีของบ้านเมืองและของประเทศชาติได้
(7) เกิดการเสี่ยงต่อสุขภาพ (Health Risk) ชุมชนที่ขาดการจัดการขยะมูลฝอยที่ดี
และเหมาะสมถูกต้องตามหลักเกณฑ์การสุขาภิบาลทำให้ประชาชนในชุมชนเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย
อาทิ โรคทางเดินอาหารที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และพยาธิต่างๆ เป็นต้น
3. แนวคิด ทฤษฏี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย
3.1 แนวคิดการจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืนแบบบูรณาการ (Integrated Sustainable Waste
Management: ISWM)
การจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืนแบบบูรณาการเป็นกระบวนการจัดการขยะมูลฝอยที่เป็นระบบ ซึ่ง
ประกอบด้วยองค์ประกอบทางกายภาพ และบริบทของการบริหารภาครัฐ (Wilson et al., 2013) เพื่อเสริมสร้าง

22

ความเข้มแข็งของระบบการจัดการขยะมูลฝอยที่มีอยู่ ให้ทุกองค์ประกอบสามารถดำเนินการอย่างเหมาะสม โดยมี
เป้าหมายเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ โดยครอบคลุม
3 มิติหลัก ประกอบด้วย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ส่วนประกอบ (Elements) และปัจจัยที่มีอิทธิพล
(Aspects) (Khatib, 2011) ดังปรากฏในภาพที่ 2 โดยมีรายละเอียดดังนี้
ภาพที่ 2 กระบวนการจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืนแบบบูรณาการ

ที่มา: Anschutz และคณะ 2004
1) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หมายรวมถึงผู้ที่สร้างหรือมีส่วนในการจัดการขยะมูลฝอย ได้แก่
บุคคลหรือองค์กร อาทิ หน่วยธุรกิจ ส่วนราชการ ตลาด รวมถึงประชาชน ซึ่งเป็นผู้สร้างขยะมูลฝอยและใช้
บริการการจัดการขยะมูลฝอย ขณะที่ผู้ให้บริการจัดการขยะมูลฝอยหมายถึงภาครัฐและเอกชนที่ดำเนินการ
เกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอย โดยความท้าทายหนึ่งของการจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืนแบบบูรณาการ
คือการดำเนินการที่ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการปรับปรุงระบบการจัดการขยะมูลฝอยโดยมี
เป้าหมายร่วมกัน (ABRELPE, ไม่ระบุปีที่จัดทำ)
2) ส่วนประกอบของการจัดการขยะมูลฝอย ประกอบด้วยองค์ประกอบของกระบวนการ
ด้านเทคนิคของระบบจัดการขยะมูลฝอย โดยเริ่มต้นจากการเกิดหรือกำเนิดขยะ
การรวบรวมขยะ การส่งต่อ การขนส่งไปสู่บ่อขยะมูลฝอยหรือโรงการกำจัดขยะมูลฝอย และท้ายสุดไปสู่
กระบวนการบำบัดหรือกำจัดขยะมูลฝอย ระบบจัดการขยะมูลฝอยเป็นการรวมกันของขั้นตอนในการจัดการ
การเคลื่อนย้ายขยะมูลฝอยภายในเมืองหรือภูมิภาค โดยมีแผนการจัดการขยะมูลฝอยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์
การจัดการขยะมูลฝอยแบบบูรณาการที่เมืองได้กำหนดการเคลื่อนย้ายขยะมูลฝอยอย่างระมัดระวังและได้
มาตรฐาน และมีองค์ประกอบของขยะมูลฝอยซึ่งกลายเป็นกลยุทธ์ในการจัดการขยะมูลฝอยที่มีลักษณะเฉพาะ
การจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืนแบบบูรณาการให้ความสำคัญสูงกับองค์ประกอบด้านการรวบรวม การส่งต่อ
และการกำจัดหรือบำบัด รวมทั้งองค์ประกอบที่เข้าใจและดำเนินการได้ยาก เช่น การลดของเสีย การนำ
กลับมาใช้ใหม่ และการแปรสภาพเพื่อกลับมาใช้ใหม่และการย่อยสลาย เป็นต้น กระบวนการจัดการขยะมูล

23

ฝอยอย่างยั่งยืนแบบบูรณาการได้สนับสนุนระบบจัดการขยะมูลฝอยที่มีอยู่เพื่อดำเนินการในทุกองค์ประกอบ
ของการจัดการขยะมูลฝอย ซึ่งหมายถึงการเพิ่มการป้องกันการเกิดขยะมูลฝอยหรือการลดการเกิดขยะมูลฝอย
การนำกลับมาใช้ใหม่ และการแปรสภาพแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ (ABRELPE, ไม่ระบุปีที่จัดทำ)
3) ปัจจัยที่มีอิทธิพล ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบที่แตกต่างกันของระบบการจัดการขยะ
มูลฝอยที่มีอยู่รวมทั้งที่ขยายเพิ่มเติมตามที่ได้วางแผนไว้ และระบบการจัดการขยะมูลฝอยแบบใหม่ซึ่งส่งผลให้
ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบสามารถกำหนดเครื่องมือเพื่อสร้างการรับรู้ ศึกษา สร้างความสมดุลของลำดับความสำคัญ
และสร้างมาตรการเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ตามที่ปรารถนา (ABRELPE, ไม่ระบุปีที่จัดทำ) ประกอบด้วย
(1) หลักการทางเทคนิคหรือการปฏิบัติการ (Technical Aspect) สนับสนุนการ
กำหนดลักษณะทางกายภาพในการจัดการขยะมูลฝอย สิ่งแวดล้อมท้องถิ่น และการใช้ประโยชน์ที่ดินของ
ภูมิภาค เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพควรสามารถดำเนินการได้ในท้องถิ่น รวมทั้งมีการจัดเตรียมอุปกรณ์สำรอง
และการบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพ
(2) องค์ประกอบด้านการเงิน-เศรษฐกิจ (Financial-Economic Aspect) ที่มีอยู่
โดยสนับสนุนด้านงบประมาณและต้นทุนของระบบการจัดการขยะมูลฝอยและเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจท้องถิ่น
ภูมิภาค ประเทศ และนานาชาติในหลายประเด็นโดยเฉพาะการฟื้นฟูและลดต้นทุน ผลกระทบของกิจกรรม
ทางเศรษฐกิจต่อการบริการด้านสิ่งแวดล้อม การวางขายสินค้าและโครงสร้างพื้นฐานด้านการแปรรูปและนำ
กลับมาใช้ใหม่จะเชื่อมต่ออย่างไร ประสิทธิภาพของระบบการจัดการขยะมูลฝอยในเมือง และมิติด้านเศรษฐกิจ
มหภาคของการใช้และการอนุรักษ์ทรัพยากรและการสร้างรายได้
(3) องค์ประกอบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Aspect) มุ่งเน้นผลกระทบ
ของการจัดการขยะมูลฝอยต่อดิน น้ำ และอากาศ ต่อความต้องการในการอนุรักษ์ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป
การควบคุมมลภาวะ และการระมัดระวังสุขภาพของประชาชน
(4) องค์ประกอบด้านการเมืองหรือกฏหมาย (Political or Legal Aspect) ได้
แก้ไของค์ประกอบที่เชื่อมต่อกันในระบบการจัดการขยะมูลฝอยที่มีอยู่ โดยการกำหนดจุดมุ่งหมายและการ
จัดลำดับความสำคัญ การกำหนดบทบาทของกฎระเบียบและอำนาจหน้าที่ กรอบการทำงานด้านกฎหมายและ
กฎระเบียบที่มีอยู่หรือได้วางแผนไว้ และกระบวนการสร้างการตัดสินใจพื้นฐาน
(5) องค์ประกอบทางสถาบัน (Institutional Aspect) เกี่ยวข้องกับโครงสร้างทาง
การเมืองและสังคมที่ควบคุมและดำเนินงานในการจัดการขยะ การกระจายหน้าที่และความรับผิดชอบ โครงสร้าง
องค์กร แนวทางปฏิบัติและวิธีการที่ใช้ในการดำเนินงาน ศักยภาพด้านสถาบันที่มีอยู่และผู้ที่ดำเนินงาน เช่น
ภาคเอกชนที่สามามรถมีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอย ขณะที่การวางแผนดำเนินงานจะพิจารณาใน
กิจกรรมหลักที่สัมพันธ์กับองค์ประกอบเชิงสถาบันและองค์กร การพัฒนาเชิงสถาบันให้มีความเข้มแข็งและ
โปร่งใส มีความสำคัญต่อการบริหารจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืนที่ดี ระบบการจัดการขยะมูลฝอยที่
ดำเนินการได้เป็นอย่างดีเมืองจะต้องแก้ไขประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างการจัดการ การเชื่อมโยง

24

กระบวนการทำงาน กระบวนการด้านการเงินในการปฏิบัติงานของแรงงาน การคืนทุน และการฉ้อโกง รวมทั้ง
การบริหารการเงินและการกำหนดความรับผิดชอบที่ชัดเจน
(6) องค์ประกอบด้านสังคม-วัฒนธรรม (Socio-cultural Aspect) ซึ่งรวมอิทธิพล
ของวัฒนธรรมต่อการสร้างและจัดการขยะมูลฝอยภายในครัวเรือน และหน่วยธุรกิจและสถาบัน ชุมชนและการ
จัดการขยะมูลฝอยของชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มและชุมชน ระหว่างประชาชนในช่วงอายุต่างๆ เพศ
ชนกลุ่มน้อย และลักษณะทางสังคมของแรงงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะมูลฝอย
หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สามารถขับเคลื่อนไปสู่การจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืนและ
บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) คือนโยบายที่
ชัดเจนในการจัดการขยะมูลฝอยของแต่ละประเทศหรือเมือง โดยในระดับชาติหลายประเทศโดยเฉพาะใน
ประเทศพัฒนาแล้วได้ยอมรับหลักการลำดับชั้นในการจัดการขยะมูลฝอย (Waste Hierarchy) ซึ่งเป็น
เครื่องมือเชิงนโยบายที่สำคัญในการจัดการขยะอย่างยั่งยืนดังปรากฏในภาพที่ 3 โดยมีเป้าหมายนำไปสู่การ
เป็นสังคมที่ปลอดจากขยะ (Zero Waste Society) โดยหลักการดังกล่าวได้ถูกแปลความและประยุกต์ใช้ใน
การกำหนดนโยบายจัดการขยะมูลฝอยในช่องทางที่หลากหลาย และได้ถูกนำมาใช้ในสหภาพยุโรป
(European Union: EU) โดยมีการออกกฏหมายรองรับ (ABRELPE, ไม่ระบุปีที่จัดทำ)
สหภาพยุโรปให้คำจำกัดความของ “ลำดับชั้นการจัดการขยะมูลฝอย”ว่าเป็นกฎหมายและ
นโยบายในการจัดลำดับความสำคัญในการจัดการและป้องกันการเกิดขยะมูลฝอย โดยกำหนดให้การป้องกัน
เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ตามด้วยการเตรียมตัวสำหรับการใช้ซ้ำ การเปลี่ยนสภาพและนำมาใช้ใหม่ การแปรรูปใน
รูปแบบต่างๆ (อาทิ พลังงาน) และการกำจัดขยะมูลฝอยซึ่งเป็นทางเลือกที่ชื่นชอบน้อยที่สุด (สำนักงาน
คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ประเทศสหรัฐอเมริกา, ไม่ระบุปีที่จัดทำ) โดยมีรายละเอียดดังนี้
ภาพที่ 3 หลักการเชิงนโยบายหรือลำดับชั้นการจัดการขยะมูลฝอย










ที่มา: สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency: EPA) ประเทศสหรัฐอเมริกา
ไม่ระบุปีที่จัดทำ

25

1) การลดการเกิดขยะและการนำกลับมาใช้ใหม่ (Source Reduction and Reuse)
หมายถึงการลดขยะมูลฝอยที่แหล่งกำเนิดซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการป้องกันสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด สามารถดำเนินการ
ได้หลายรูปแบบ อาทิ การนำกลับมาใช้ใหม่ การบริจาค การลดรูปแบบหีบห่อที่ไม่จำเป็น การออกแบบ
ผลิตภัณฑ์ใหม่ การลดความเป็นพิษของผลิตภัณฑ์ ซึ่งการดำเนินการหรือการซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ดำเนินการ
ตามรูปแบบดังกล่าวข้างต้นสามารถสนับสนุนการลดปริมาณขยะมูลฝอยจากแหล่งกำเนิด จะส่งผลให้เกิดการ
อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน การลดมลพิษ และการประหยัดเงินให้กับผู้บริโภคและธุรกิจ
2) การเปลี่ยนสภาพและนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycling or Composting) หมายถึง
รูปแบบของกิจกรรมที่เป็นการรวบรวมสิ่งของที่ใช้แล้วหรือสิ่งของที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือยังไม่ได้ใช้ซึ่ง
ถูกพิจารณาว่าเป็นของเสีย นำมาคัดแยกและแปรสภาพให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ในลักษณะเป็นวัตถุดิบซึ่ง
เป็นปัจจัยการผลิตหรือเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ผู้บริโภคเป็นตัวเชื่อมต่อที่สำคัญโดยการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากวัสดุ
ที่นำกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้การนำกลับมาใช้ใหม่ยังหมายรวมถึงการย่อยสลายของสิ่งของที่เหลือหรือไม่
ต้องการ เช่น กิ่งไม้ใบหญ้า และวัสดุอินทรีย์อื่นๆ เป็นต้น ซึ่งจะก่อประโยชน์ ได้แก่ การป้องกันการปลดปล่อย
ของก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางน้ำ การประหยัดพลังงาน การจัดส่งวัตถุดิบที่มีค่าให้อุตสาหกรรม การสร้างงาน
การกระตุ้นการพัฒนาของเทคโนโลยีสีเขียว การอนุรักษ์ทรัพยากรสำหรับอนาคตของลูกหลาน และการลด
ความต้องการสถานที่ทิ้งขยะและเตาะเผาขยะใหม่
3) การแปรรูปขยะเป็นพลังงาน (Energy Recovery) หรือการแปรรูปของเสียเป็นพลังงาน
(Waste to Energy) หมายถึงการปรับวัสดุของเสียซึ่งไม่สามารถแปรสภาพและนำกลับมาใช้ได้ใหม่
ให้กลายเป็นความร้อนที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ อาทิ ไฟฟ้า หรือน้ำมัน โดยผ่านกระบวนการที่หลากหลาย เช่น
การเผาไหม้ การแปรสภาพเป็นก๊าซ (Gasification) การสลายตัวด้วยความร้อน (Pyrolization) การย่อยสลาย
แบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) และ ก๊าซจากพื้นฝังกลบขยะ (Landfill Gas) เป็นต้น กระบวนการ
เหล่านี้ได้สร้างแหล่งพลังงานทดแทนและลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยการชดเชยความ
ต้องการพลังงานจากฟอสซิลและลดการสร้างก๊าซมีเทนจากบ่อขยะมูลฝอย โดยหลังจากพลังงานถูกสร้างขึ้น
จากกระบวนการเหล่านี้ ประมาณร้อยละ 10 ของปริมาณขยะมูลฝอยจะกลายเป็นเถ้าถ่านและโดยทั่วไปจะถูก
ส่งกลับไปยังบ่อขยะมูลฝอย
4) การบำบัดและการกำจัด (Treatment and Disposal) ก่อนการกำจัดขยะมูลฝอย
การบำบัดสามารถช่วยลดปริมาณและความเป็นพิษของขยะมูลฝอย ซึ่งการบำบัดขยะมูลฝอยเกี่ยวข้องกับ
ลักษณะทางกายภาพ อาทิ การตัดให้เป็นชิ้นเล็กๆ ลักษณะทางเคมี อาทิ การเผาไหม้เพื่อให้เกิดเป็นพลังงาน
และลักษณะทางชีวภาพ อาทิ การย่อยสลายแบบไม่ใช้อ๊อกซิเจน เมื่อพิจารณาการกำจัดขยะมูลฝอย บ่อทิ้ง
ขยะมูลฝอย (Landfill) เป็นรูปแบบการกำจัดขยะมูลฝอยที่ใช้กันอยู่ทั่วๆ ไป และเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของ
ระบบการจัดการขยะแบบบูรณาการ บ่อทิ้งขยะมูลฝอยสมัยใหม่มีองค์ประกอบหรือสิ่งอำนวยความสะดวกทาง
วิศวกรรมที่ดี ซึ่งถูกออกแบบ ดำเนินงาน และติดตาม เพื่อรับรองว่าเป็นไปตามกฎระเบียบของรัฐต่างๆ ใน
ประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป บ่อทิ้งขยะมูลฝอยที่ยอมรับขยะมูลฝอยชุมชนได้อยู่ภายใต้ระเบียบของ

26

รัฐ ชุมชนท้องถิ่น และรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของประเทศสหรัฐอเมริกาได้กำหนด
มาตรฐานระดับชาติเกี่ยวกับบ่อขยะมูลฝอยว่าจะต้องเปิดให้บริการตลอดเวลา โดยได้จำแนกบ่อขยะมูลฝอย
ออกเป็นบ่อทิ้งขยะมูลฝอยแบบเปิด (Open dumps) ซึ่งเป็นบ่อขยะสมัยเก่า มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการ
กำจัดขยะมูลฝอยที่ไม่ตรงกับหลักเกณฑ์ของรัฐและสหภาพยุโรป ขณะที่บ่อขยะมูลฝอยในปัจจุบันต้องมีรูปแบบ
การปฏิบัติงาน และเป็นระบบปิดตามกฏระเบียบที่เข้มงวด โดยที่ก๊าซมีเทนหรือก๊าซไข่เน่า (Methane gas) ซึ่ง
เป็นผลผลิตที่เกิดจากการย่อยสลายของเสียจะถูกรวบรวมและใช้ในลักษณะเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้า โดย
หลังจากปิดบ่อขยะมูลฝอยพื้นที่บริเวณนั้นอาจถูกใช้ประโยชน์สำหรับการพักผ่อน เช่น สวนสาธารณะ และ
สนามกอล์ฟ เป็นต้น
ลำดับชั้นในการจัดการขยะมูลฝอยเป็นหลักการที่สหภาพยุโรปกำหนดขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ
ลดผลกระทบในแง่ลบของของเสียต่อสิ่งแวดล้อมและเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากร
ซึ่งหลักการนี้มีหลายประเทศได้นำมาใช้ในการกำหนดนโยบายกำจัดขยะมูลฝอยโดยมีเหตุผลคือการขาดพื้นที่
สำหรับกำจัดขยะมูลฝอยโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ และปัญหาการ
ปนเปื้อนของของเสียอันตรายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา การจัดลำดับการจัดการขยะมูลฝอย
ซึ่งเป็นแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยเชิงนโยบายจึงกลายเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการขยะมูลฝอย
อย่างยั่งยืน
3.2 แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (2562) ให้ความหมายของระบบ
เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ว่าหมายถึง แนวคิดการนำทรัพยากรที่ถูกใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ เน้น
การใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อแก้ไขปัญหาการใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็นจากการขยายตัว
ของจำนวนประชากรโลกและปัญหาการจัดการขยะมูลฝอย
กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความหมายแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนซึ่งคล้ายคลึงกันว่า หมายถึง การ
หมุนเวียนทรัพยากรในการผลิตให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีรูปแบบการพัฒนา (Model)
ประกอบด้วย (1) ปรับปรุงกระบวนการผลิตโดยลดหรือเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร (2) สร้างวิสาหกิจ
ใหม่ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Enterprises Start-ups) และ (3) เพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมโดยการสร้าง
ผลิตภัณฑ์ใหม่จากขยะมูลฝอยที่ได้จากกระบวนการผลิต
ในทำนองเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทยให้คำจำกัดความของระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน หมายถึง
การออกแบบเศรษฐกิจให้หมุนเวียนเป็นวงจรไม่รู้จบ โดยหลักการของระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนกว้างกว่าการนำ
ทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) แต่เป็นแนวคิดแบบองค์รวมที่ครอบคลุมหลักการสำคัญ 3 ประการ
คือ (1) ออกแบบสินค้าและบริการที่เน้นการรักษาต้นทุนด้านทรัพยากรธรรมชาติ (2) เพิ่มประสิทธิภาพในการ
ใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการหมุนเวียนวัตถุดิบและสินค้า และ (3) ลดการเกิดของเสียและ
ผลกระทบเชิงลบ (Negative Externalities) ต่อสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด หลักการทั้ง 3 ประการดังกล่าวทำ

27

ให้ระบบการผลิตแบบเดิมหรือระบบการผลิตแบบตรง (Linear Economy) ที่เป็นการผลิตแบบใช้แล้วทิ้ง
(Make-Use-Dispose) และเน้นกำไรเป็นตัวตั้ง ปรับเปลี่ยนไประบบการผลิตแบบหมุนเวียนที่เน้นการนำ
วัตถุดิบจากสินค้าที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ (Make-Use-Return) พัฒนาไปสู่การใช้พลังงานสะอาด ลดผลกระทบ
เชิงลบและเพิ่มผลกระทบเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจ
ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลก อาทิ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน กำลังปรับตัวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
หมุนเวียนเพื่อแก้วิกฤตทรัพยากรที่เกิดขึ้น แต่การนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนักจาก
อุปสรรคและข้อจำกัดต่างๆ เช่น พฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังไม่นิยมใช้สินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือ
สินค้ามือสอง ต้นทุนในการปรับกระบวนการผลิตและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ รวมถึง
ศักยภาพของแรงงานที่ไม่เพียงพอกับเทคโนโลยีการผลิตที่ก้าวหน้า สำหรับประเทศไทยในแผนยุทธศาสตร์ชาติ
ระยะ 20ปี (พ.ศ. 2560-2579) ได้กำหนดยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตด้วยคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับ
สิ่งแวดล้อมสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนข้อที่ 12 ขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องแผนการ
บริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน ซึ่งระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
อย่างไรก็ตามความตื่นตัวในเรื่องระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนยังไม่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในภาคธุรกิจของไทย โดย
ปัจจุบันมีบริษัทพีทีทีโกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำในการ
ขับเคลื่อน ขณะเดียวกันมีการรณรงค์การปรับพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการก้าวเข้าสู่ระบบ
เศรษฐกิจหมุนเวียนโดยการลดการใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง (Single-use Plastic) ที่ไม่จำเป็นหลายประเภทและ
หันไปใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแทน
3.3 แนวคิดเศรษฐกิจพลาสติกใหม่ (New Plastics Economy) ความมุ่งมั่นระดับโลก
ความคิดริเริ่มระดับโลกที่มีความมุ่งมั่นในการกำหนดเศรษฐกิจซึ่งเป็นเส้นทางที่ไม่สามารถ
ย้อนกลับได้ให้เป็นโลกที่พลาสติกจะไม่กลายเป็นขยะหรือมลพิษเริ่มตั้งแต่การจัดทำบรรจุภัณฑ์ แนวคิดเศรษฐกิจ
พลาสติกใหม่ (New Plastics Economy) ความมุ่งมั่นระดับโลกเริ่มเปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2561 โดย
มูลนิธิแอลเล็นแมคอาเธอร์ ร่วมกับแผนงานสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ โดยการประยุกต์ใช้หลักการของ
เศรษฐกิจหมุนเวียนและนำผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักให้คิดใหม่และออกแบบใหม่สำหรับอนาคตของพลาสติก โดย
เป็นความร่วมมือกันทั้งจากภาคเอกชน ภาครัฐ และองค์กรอื่นๆจากทั่วโลกเพื่อการร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
หมุนเวียนจากพลาสติก โดยต้องมีการดำเนินการ 3 ประการ เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์นี้และสร้างเศรษฐกิจ
หมุนเวียนจากพลาสติกประกอบด้วย (1) กำจัดรายการพลาสติกที่มีปัญหาและไม่จำเป็นทั้งหมด (2) คิดค้น
นวัตกรรมเพื่อให้แน่ใจว่าพลาสติกที่เราต้องการสามารถนำมาใช้ซ้ำได้ แปรรูปและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ หรือย่อย
สลายได้ และ (3) หมุนเวียนรายการพลาสติกทั้งหมดที่เราใช้เพื่อให้พลาสติกเหล่านี้อยู่ในระบบเศรษฐกิจและ
ไม่หลุดไปสู่สิ่งแวดล้อม ปัจจุบันมีสมาชิกที่ร่วมมือกันจำนวนมากกว่า 400 องค์กรจากทั่วโลก และสมาชิก
ทั้งหมดทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐได้กำหนดเป้าหมายการดำเนินงานสาธารณะที่ชัดเจนและสอดคล้องกับ
วิสัยทัศน์การดำเนินงานสู่เป้าหมายปี พ.ศ.2568 โดยมูลนิธิแอลเล็น แมคอาเธอร์ ร่วมกับแผนงานสิ่งแวดล้อม

28

แห่งสหประชาชาติได้เปิดรับสมาชิกเพิ่มทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
หมุนเวียนสำหรับพลาสติก
3.4 แนวคิดการใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยชุมชน และเทคโนโลยีและนวัตกรรมการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน
3.4.1 แนวคิดการใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยชุมชน กรมควบคุมมลพิษ (2547) แนะนำวิธีการใช้
ประโยชน์จากขยะมูลฝอยชุมชนมี 5 แนวทางหลักคือ
1) การนำขยะมูลฝอยกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ (Material Recovery) เป็นการนำขยะมูลฝอย
ที่สามารถคัดแยกได้กลับมาใช่ใหม่โดยจำเป็นต้องผ่านกระบวนการแปรรูปใหม่ (Recycle) หรือการใช้ซ้ำ
(Reuse) ก็ได้ วัสดุหลายอย่างในขยะมูลฝอยที่อาจนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก (Reuse) เช่น กระดาษ แก้ว
ขวด พลาสติก เหล็กและโลหะอื่นๆ การคัดเลือกวัสดุต่างๆที่รวมอยู่ในขยะมูลฝอยเพื่อนำกลับใช้ให้เป็น
ประโยชน์ได้อีกนับได้ว่ามีการปฏิบัติกันมาช้านาน จะเห็นได้ว่าตามกองขยะมูลฝอยทุกแห่งมีบุคคลกลุ่มหนึ่งไป
คอยคุ้ยเขี่ยเก็บวัสดุจากกองขยะมูลฝอยตลอดเวลาเพื่อหารายได้หรือการแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่
(Recycle)
(1) นวัตกรรมการใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยชุมชน เช่น
(1.1) เปลี่ยนขยะเป็นโต๊ะเรียน (ประเทศฟิลิปปินส์)
แปลงขยะพลาสติกให้เป็นโต๊ะเรียน เก้าอี้ที่ผลิตได้มีความทนทานทนไฟและ
ไม่มีสารพิษ ช่วยลดขยะ ลดการตัดไม้ ทำให้ได้เก้าอี้ให้โรงเรียน
(1.2) ใช้ขยะพลาสติกก่อสร้างถนน (ประเทศอินเดีย)
รัฐ Kerala ใช้ขยะ 9,000 ตัน เพื่อสร้างถนนยาว 246 กิโลเมตร ได้สร้างงาน
ให้ชาวบ้าน และได้ถนนที่มีคุณภาพ สร้างความสะดวกสบายให้แก่ทุกคน พนักงานของหน่วย Kudumbashree
ที่ตั้งขึ้นใหม่จะไปตามบ้านต่างๆทุกสัปดาห์เพื่อเก็บขยะพลาสติกที่รีไซเคิลไม่ได้ เช่น กล่องใส่อาหาร โฟม
ผ้าอ้อมเด็กใช้แล้วทิ้ง ฝาขวด ถุงหูหิ้ว หรือแม้แต่ท่อพีวีซี หน่วยงานนี้นำขยะพลาสติกที่เก็บได้มาหั่นด้วย
เครื่องจักรหั่นพลาสติก ซึ่งสามารถหั่นและบีบอัดพลาสติกได้ 500 กิโลกรัมต่อวัน และนำไปจำหน่ายให้ผู้รับซื้อ
เพื่อนำมาสร้างถนน การใช้ขยะพลาสติกสร้างถนนช่วยลดผลกระทบจากน้ำที่มากัดเซาะ ช่วยเพิ่มความแข็งแรง
ของถนน ลดการใช้ยางมะตอย และลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
(1.3) ใช้ขยะพลาสติกแห้งแลกเป็นค่าเทอม (ประเทศอินเดีย)
ช่วยให้เด็กรู้จักรีไซเคิลและแยกขยะไปในตัว โดยเด็กจะนำขยะพลาสติก
สัปดาห์ละ 25 ชิ้นให้โรงเรียน โรงเรียนยังสอนให้นักเรียนนำขยะพสาสติกประดิษฐ์เป็นข้าวของต่างๆ เป็นการ
เสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ด้วย

29

(1.4) การแปลงขยะให้เป็นเงินออม (ประเทศเปรู)
ให้เด็กๆนำขยะในบ้านมาขายที่ธนาคารขยะสำหรับเด็ก นอกจากได้เงินแล้ว
ยังช่วยไม่ให้ขยะมูลฝอยในบ้านกลายเป็นขยะบนถนนหรือในท้องทะเล
(1.5) นำขวดน้ำพลาสติกใช้แล้วแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วโดยสารรถไฟฟ้า หรือ
รถเมล์ (5 เมืองทั่วโลก)
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 เป็นต้นมามี 5 เมืองของโลกริเริ่มโครงการ “ขวดน้ำ
พลาสติกแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วโดยสาร” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการจูงใจประชาชนให้ช่วยกันแยกขยะสำหรับนำไป
รีไซเคิล แนวคิดในแต่ละเมืองไม่ต่างกันมากนักโดยการติดตั้งจุดรับขวดน้ำพลาสติกใช้แล้วไว้ตามสถานีรถไฟฟ้า
หรือรถเมล์ เมื่อผู้โดยสารนำขวดพลาสติกมาเข้าระบบก็จะได้ค่าโดยสารคืนกลับไปใช้งาน โดยเมืองแรกที่เริ่มใช้
ระบบขวดน้ำพลาสติกแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วโดยสารคือกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามด้วยเมืองอิส
ตันบูล ประเทศตุรกี เมืองสุราบายา ประเทศอินโดนีเซีย กรุงโรม ประเทศอิตาลี และเมืองกัวยาคิล เมืองท่าทาง
ตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเอกวาดอร์ จุดเด่นของการใช้วิธีนี้ คือการแก้ปัญหาขยะพลาสติกโดยไม่เรียกร้อง
ให้ประชาชนมีจิตสำนึกต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมซึ่งดำเนินการได้ยากและต้องใช้เวลานาน เช่น กรณีของ
เมืองกัวยาคิลราคาแลกเปลี่ยนขวดน้ำพลาสติกเป็นตั๋วโดยสารรถเมล์มีมูลค่าสูงกว่าการขายขวดน้ำพลาสติก
ให้แก่ศูนย์รีไซเคิลขยะทำให้ประชาชนให้การยอมรับสูงกับวิธีการนี้ เป็นต้น
การใช้ขวดน้ำพลาสติกแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วโดยสารของแต่ละเมืองมีอัตราและ
และวิธีการดำเนินการแตกต่างกันเล็กน้อย เช่น
• กรุงปักกิ่ง ใช้ 20 ขวดเพื่อแลกตั๋วโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน 1 ใบ มูลค่า
2 หยวน (ประมาณ 9 บาท) สามารถแลกได้ที่เครื่องในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน
• เมืองอิสตันบูล ใช้ 1 ขวดใหญ่ (1.50 ลิตร) แลกเป็นเงินเติมในบัตร
โดยสารได้ 6 คูรุส และ 1 กระป๋องอะลูมิเนี่ยมใหญ่ (0.50 ลิตร) แลกเป็นเงินได้ 9 คูรุส ดังนั้นจะต้องใช้ขวดน้ำ
ขนาดใหญ่ประมาณ 28 ขวดเพื่อเติมเงินจนได้ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 1 เที่ยว มูลค่า 2.60 ลีร่า (ประมาณ 13.60
บาท) สามารถแลกได้ที่เครื่องในสถานีรถไฟฟ้า โดยบัตรดังกล่าวสามารถใช้โดยสารรถเมล์ รถราง และใช้
บริการห้องน้ำสาธารณะได้
• เมืองสุราบายา ใช้ขวดน้ำพลาสติก 5 ขวด หรือแก้วพลาสติก 10 ใบ
เพื่อแลกตั๋วโดยสารรถเมล์ระยะเวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง โดยสามารถแลกได้โดยตรงบนรถเมล์โดยสาร
• กรุงโรม ใช้ขวดน้ำพลาสติก 30 ขวดแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วโดยสาร
รถไฟฟ้าใต้ดิน 1 ใบสามารถใช้เวลาเดินทางได้ 100 นาที วิธีการใช้งานต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นสำหรับ
โครงการขวดน้ำพลาสติกแลกเปลี่ยนเป็นตั๋ว เมื่อแลกขวดน้ำพลาสติกที่เครื่องแล้วจะได้ตั๋วเข้ามาใน
แอปพลิเคชั่น และสามารถใช้แอปพลิเคชั่นสแกนเข้าระบบรถไฟฟ้าโดยไม่จำเป็นต้องแลกเป็นตั๋วกระดาษอีก

30

• เมืองกัวยาคิล ใช้ขวดน้ำพลาสติก 15 ขวดแลกเป็นเงิน 30 เซนต์
โดยผู้บริโภคจะได้รับเป็นเงินสด ซึ่งเงินจำนวนนี้มีมูลค่าเท่ากับตั๋วโดยสารรถเมล์ 1 ใบ โดยแลกได้ที่เครื่องใน
สถานีรถเมล์โดยสาร
(1.6) ตู้เย็นสาธารณะนำอาหารเหลือมาใส่ให้คนต้องการ ช่วยลดขยะอาหาร
ช่วยคนและช่วยโลก
กลุ่มคนชาวลอนดอนได้ออกมาตั้งตู้เย็นสาธารณะแห่งแรกให้แก่ชุมชน
เรียกว่า “ตู้เย็นของประชาชน (The People’s Fridge)” ตู้เย็นที่คนในชุมชนสามารถนำอาหารมาวาง และ
เปิดหยิบอาหารฟรีได้ แก้ปัญหาอาหารเหลือไปเป็นขยะอาหาร ซึ่งแนวคิดนี้ได้แรงบันดาลใจจากตู้เย็นที่
คล้ายกันในประเทศสเปน เยอรมนี และอินเดียที่แบ่งอาหารที่เหลือไปให้ผู้ที่ยากไร้ The People’s Fridge
เป็นตู้เย็นสาธารณะขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใจกลางย่านบริกตัน (Brixton) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ผู้คนต่างๆที่
เดินผ่าน ร้านค้า ร้านอาหาร และคนในชุมชนสามารถนำอาหารที่เหลือ หรือที่อาจจะไม่ได้ถูกนำมาปรุงมาใส่ไว้
ในตู้เย็น และใครที่ขาดแคลนวัตถุดิบหรืออาหารก็หยิบจากตู้ไปได้ตามที่ต้องการ โดยสามารถมาใช้งานตู้เย็นได้
ในวันจันทร์–วันพฤหัสบดี เวลา 09.00-19.00 น. และวันศุกร์–วันอาทิตย์ เวลา 09.00-17.00 น. ทุกๆ วัน กลุ่ม
ผู้ที่อยู่อาศัยในย่านนี้และบรรดานักกิจกรรมจะคอยเข้ามาดูแลตู้เย็น พวกเขาจะจัดการด้านความสะอาดและ
คอยเช็คของวันละสองครั้งเพื่อแน่ใจว่าของในตู้เย็นยังไม่หมดอายุและบริโภคได้อย่างปลอดภัย
The People’s Fridge ต้องการให้ตู้เย็นของเขาเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้าง
ชุมชนเข้มแข็งมีน้ำใจ และมอบสิ่งดีๆในแก่กัน อาหารที่ได้รับมาจากผู้คนหลากหลายครัวเรือน สิ่งของที่พวกเขาไม่
ใช้สามารถมีประโยชน์ต่อผู้คนอีกมากมาย ไม่ใช่เพียงแต่กับผู้ยากจน แต่ยังรวมถึงคนที่ต้องการประหยัด
ค่าใช้จ่าย รวมทั้งช่วยสร้างการตระหนักรู้ถึงปัญหาขยะอาหาร และลดปริมาณขยะอาหารที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
(2) การบริจาคขยะมูลฝอยชุมชนที่มีค่าให้หน่วยงานที่รับของไทย และนำไปแปรรูป
เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น
(2.1) โครงการวน รับถุงสินค้าแบบเหนียวยืด ถุง LDPE HDPE เปลี่ยนเป็นถุงใหม่
และทำบุญกิโลละ 5 บาท ส่งไปที่ โครงการวน บริษัท ทีพีไอ จำกัด (มหาชน) 42/174 หมู่ที่ 5 ตำบลไร่ขิง อำเภอ
สามพราน จังหวัดนครปฐม 73210 หรือจุดรับ
(2.2) Precious Plastic Bangkok รับฝาน้ำดื่ม และพลาสติกเกรด HDPE/PP
เปลี่ยนเป็นภาชนะพลาสติกแบบต่างๆ ส่งไปที่ Precious Plastic Bangkok จักรพงษ์วิลล่า 396/1 ถนนมหาราช
แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 หรือจุดรับ
(2.3) โครงการหลังคาเขียว/กล่องวิเศษ รับกล่องนม/กล่องเครื่องดื่ม เปลี่ยนเป็น
กระเบื้องหลังคา โต๊ะและเก้าอี้ ส่งไปที่ (1) บริษัท ไฟเบอร์พัฒน์ จำกัด 30/11 หมู่ที่ 11 ถนนบางนา-ตราด
กม.23 ตำบลบางเสาธง อำเภอเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ และ (2) โครงการกล่องวิเศษ ตู้ ปณ.19 ปณฝ.
หน้าพระลาน กรุงเทพฯ 10202

31

(2.4) ผึ้งน้อยนักสู้ ขยะพลาสติกที่ใช้ซ้ำไม่ได้ ขายไม่ได้ รีไซเคิลไม่ได้ เพียงตัด
ขยะแห้งและสะอาดเหล่านั้นเป็นชิ้นเล็กๆใส่ลงขวด PET อัดให้แน่นจนเต็มเพื่อนำไปเป็นส่วนประกอบของการ
ก่อสร้างบ้านดินหรืออาคารเรียน ส่งไปที่ โครงการผึ้งน้อยนักสู้ 1/778 อาคารการ์เด้นโฮมพลาซ่าโซน 2 ถนน
พหลโยธิน 60 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี 12130 หรือ แบมบูสคูล (Bamboo School) 234
ซอยแมมแคท หมู่บ้านบ้องตี้ล่าง ตำบลบ้องตี้ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี 71150
(2.5) วัดจากแดง รับขวดพลาสติกใส PET แกะฉลากและบีบให้แน่น เปลี่ยนเป็น
จีวรพระ ส่งไปที่ วัดจากแดง ซอยวัดจากแดง ตำบลทรงคนอง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
10130
(2.6) โครงการกรีนโรด รับถุงหูหิ้วและถุงแกงล้างสะอาด เปลี่ยนเป็นอิฐบล็อก/
ถนน ส่งไปที่ ผศ.ดร.เวชสวรรค์ หล้ากาศ 22 ซ.7 ถนนหมื่นด้ามพร้าคต ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัด
เชียงใหม่ 50300
(2.7) กรมควบคุมมลพิษ รับอลูมิเนียมใช้แล้วทุกชนิด เปลี่ยนเป็นขาเทียม
พระราชทาน ส่งไปที่กรมควบคุมมลพิษ เลขที่ 92 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท กรุงเทพฯ
10400 (ส่งไปรษณีย์ไทยฟรี)
(2.8) มูลนิธิพลังงานที่ยั่งยืน และศูนย์สังคมพัฒนา รับหลอดพลาสติกสะอาด
เปลี่ยนเป็นหมอนผู้ป่วยติดเตียง ส่งไปที่ (1) มูลนิธิพลังงานที่ยั่งยืน อาคาร 1 ชั้น 5 ปตท.สำนักงานใหญ่ และ
(2) ศูนย์สังคมพัฒนา สังฆมณฑลจันทบุรี ตู้ ปณ.66 อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว 27000
(2.9) พลาสติกเบอร์ 6 ตระกูลโฟม โพลีสไตริน บริษัทเอ็นไวรอนพลาสต์ จำกัด
พร้อมรับซื้อ ที่อยู่ 29/1หมู่ 9 ถนนวงแหวนรอบนอกตะวันตก ตำบลคลองข่อย อำเภอปากเกร็ด จังหวัด
นนทบุรี 11120 โทร 080-440-8788
2) การแปรรูปเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน (Energy Recovery) เป็นการนำขยะมูลฝอยที่
สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน พลังงานไฟฟ้า หรือเปลี่ยนเป็นรูปก๊าซชีวภาพมาเพื่อใช้ประโยชน์
3) การนำขยะมูลฝอยประเภทเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานหรือการประกอบ
อาหารไปเลี้ยงสัตว์
4) การนำขยะมูลฝอยไปปรับสภาพให้มีประโยชน์ต่อการบำรุงรักษาดิน เช่น การนำขยะ
มูลฝอยสดหรือเศษอาหารมาหมักทำปุ๋ย ตัวอย่างนวัตกรรม เช่น เครื่องเปลี่ยนขยะเปียกเป็นปุ๋ยอินทรีย์ใน 1
ชั่วโมง สร้างโดยคณะวิจัยของศาสตราจารย์จินฟาง และมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง ประเทศสาธารณรัฐ
ประชาชนจีน และได้กลายเป็นระบบจัดการขยะมวลชีวภาพด้วยวิธีไฮโดรเทอร์
มอลชิ้นแรกที่ผ่านการทดสอบเชิงอุตสาหกรรม อุปกรณ์ชิ้นนี้มีศักยภาพจัดการขยะเปียกได้ 100 ตัน/วันโดยไม่
ส่งกลิ่นเหม็น ทั้งนี้ขยะเปียกดังกล่าวข้างต้นหมายถึงขยะอินทรีย์ที่มักจะมีน้ำหนักมากเนื่องจากความชื้นสูง
ขยะเปียกที่ผ่านอุปกรณ์ดังกล่าวจะถูกเปลี่ยนเป็น “น้ำขยะ” และ “กากขยะ”น้ำขยะใช้เป็นปุ๋ยเหลวใช้กับธัญพืช

32

และการเพาะเลี้ยงในน้ำ ส่วนกากขยะจะกลายเป็นกรดฮิวมิกชนิดผงซึ่งสามารถนำไปใช้ฟื้นฟูสภาพหรือบำรุงดิน
และน้ำได้และเล็งนำไปใช้ในวงกว้าง
5) การนำขยะมูลฝอยใช้ปรับปรุงพื้นที่ โดยนำขยะมูลฝอยมากำจัดโดยวิธีฝังกลบอย่างถูก
หลักวิชาการ (Sanitary Landfill) จะได้พื้นที่สำหรับใช้ปลูกพืช สร้างสวนสาธารณะ สนามกีฬา สถานที่พักผ่อน
หย่อนใจ สร้างเป็นอาคารที่ทำงานหรือที่อยู่อาศัย เป็นต้น ประเทศไทยก็ได้ใช้ขยะมูลฝอยไปถมที่ทำประโยชน์
เช่น สวนจตุจักรซึ่งเดิมเป็นที่ลุ่มน้ำท่วมและเต็มไปด้วยพงหญ้ารกมากและไม่ได้ใช้ประโยชน์แต่อย่างใด ต่อมาได้
มีการนำเอาขยะมูลฝอยจากสถานกำจัดขยะดินแดงมาถมที่บริเวณสวนจตุจักรและปรับปรุงเป็นสถานที่พักผ่อน
หย่อนใจดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
3.4.2 เทคโนโลยีการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน ที่นิยมใช้โดยทั่วไปมีดังนี้
1) กรมควบคุมมลพิษ (2547) จำแนกเทคโนโลยีในการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนออกเป็น 3
ระบบใหญ่ๆคือ
(1) ระบบหมักทำปุ๋ย
เป็นการย่อยสลายอินทรีย์สารโดยขบวนการทางชีววิทยาของจุลินทรีย์เป็นตัวการ
ย่อยสลายให้แปรสภาพเป็นแร่ธาตุที่มีลักษณะค่อนข้างคงรูป มีสีดำค่อนข้างแห้ง และสามารถใช้ในการปรับปรุง
คุณภาพของดิน การหมักทำปุ๋ยแบ่งออกเป็น 2 กระบวนการ คือ (1) กระบวนการหมักแบบใช้ออกซิเจน (Aerobic
Decomposition) ซึ่งเป็นการสร้างสภาวะที่จุลินทรีย์ชนิดที่ดำรงชีพโดยใช้ออกซิเจนย่อยสารอาหารแล้วเกิดการ
เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและกลายสภาพเป็นแร่ธาตุ เป็นกระบวนการที่ไม่
เกิดก๊าซกลิ่นเหม็น และ (2) กระบวนการหมักแบบไม่ใช้ออกซิเจน
(Anaerobic Decomposition) เป็นการสร้างสภาวะให้เกิดจุลินทรีย์ชนิดที่
ดำรงชีพโดยไม่ใช้ออกซิเจนเป็นตัวช่วยย่อยสารอาหารและแปรสภาพ
กลายเป็นแร่ธาตุ กระบวนการนี้มักเกิดก๊าซที่มีกลิ่นเหม็น อาทิ ก๊าซไข่เน่า
(Hydrogen Sulfide: H2S) แต่ขบวนการนี้มีผลดีคือเกิดก๊าซมีเทน
(Methane gas) ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิงได้
(2) ระบบการเผาในเตาเผา
เป็นการทำลายขยะมูลฝอยที่สามารถติดไฟได้ อาทิ ขยะอินทรีย์ พลาสติก กระดาษ
ไม้และเศษไม้ โดยการใช้ความร้อนในตัวของขยะมูลฝอยเหล่านั้นเป็นตัว
ทําลายขยะมูลฝอยเอง ด้วยวิธีการเผาทำลายในเตาเผาที่ได้รับการออกแบบ
ก่อสร้างที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยต้องให้มีอุณหภูมิในการเผาที่ 850-
1,200 องศาเซลเซียส เพื่อให้การทำลายที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ในการเผามัก
ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ได้แก่ ฝุ่นขนาดเล็ก ก๊าซพิษต่างๆ เช่น ซัลเฟอร์
ไดออกไซด์ (Sulfer dioxide: SO2) เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังอาจเกิดไดออกซิน (Dioxins) ซึ่งเป็นสารก่อ

33

มะเร็งและเป็นสารที่กำลังอยู่ในความสนใจของประชาชน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีระบบควบคุมมลพิษทางอากาศ
และดักจับไม่ให้อากาศที่ผ่านปล่องออกสู่บรรยากาศมีค่าเกินกว่าค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศจากเตาเผาที่
กำหนด
(3) ระบบฝังกลบอย่างถูกสุขาภิบาล (Sanitary Landfill)
เป็นการกำจัดขยะมูลฝอยโดยการนำไปฝังกลบในพื้นที่ที่ได้จัดเตรียมไว้ ซึ่งเป็นพื้นที่
ที่ได้รับการคัดเลือกตามหลักวิชาการทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วิศวกรรม สถาปัตยกรรม และการ
ยินยอมจากประชาชน จากนั้นจึงทำการออกแบบและก่อสร้าง โดยมีการวางมาตรการป้องกันผลกระทบที่อาจ
เกิดขึ้น เช่น การปนเปื้อนของน้ำเสียจากกองขยะมูลฝอยที่เรียกว่า น้ำชะ
ขยะมูลฝอย (Leachate) ซึ่งถือว่าเป็นน้ำเสียที่มีค่าความสกปรกสูงไหลซึม
ลงสู่ชั้นน้ำใต้ดิน ทำให้คุณภาพน้ำใต้ดินเสื่อมสภาพลงจนส่งผลกระทบต่อ
ประชาชนที่ใช้น้ำเพื่อการอุปโภค และบริโภค นอกจากนี้ยังต้องมี
มาตรการป้องกันน้ำท่วม กลิ่นเหม็น และผลกระทบต่อสภาพภูมิทัศน์
ตารางที่ 1 สรุปข้อเปรียบเทียบวิธีการกำจัดขยะมูลฝอยชุมชน
ข้อพิจารณา วิธีการกำจัดมูลฝอยชุมชน
การเผา การหมักปุ๋ย การฝังกลบ
1. ด้านเทคนิค
1.1 ความยากง่ายในการ
ดำเนินการและซ่อมบำรุง

- ใช้เทคโนโลยีค่อนข้าง
สูงและการเดินเครื่อง
ยุ่งยาก

- ใช้เทคโนโลยีสูง
พอควร

- ใช้เทคโนโลยีไม่สูงนัก


- เจ้าหน้าที่ควบคุมต้อง
มีความชำนาญสูง

- เจ้าหน้าที่ควบคุมต้อง
มีระดับความรู้สูง
พอสมควร

- เจ้าหน้าที่ควบคุม
ระดับความรู้ธรรมดา
1.2. ประสิทธิภาพในการ
กำจัด

- ปริมาณมูลฝอยที่กำจัดได้

- ลดปริมาตรได้ 60 -
65% ที่เหลือต้องนำไป
ฝังกลบ

- ลดปริมาตรได้ 30 -
35% ที่เหลือต้องนำไป
ฝังกลบหรือเผา

- สามารถกำจัดได้
100%

34

ข้อพิจารณา วิธีการกำจัดมูลฝอยชุมชน
การเผา การหมักปุ๋ย การฝังกลบ
- ความสามารถในการฆ่า
เชื้อโรค

- กำจัดได้ 100 %

- กำจัดได้ 70 %

- กำจัดได้เพียงเล็กน้อย
1.3. ความยืดหยุ่นของ
ระบบ

- ต่ำหากเกิดปัญหา
เครื่องจักรกลชำรุดไม่
สามารถปฏิบัติการได้

- ต่ำหากเครื่องจักรกล
ชำรุดไม่สามารถ
ปฏิบัติการได้

- สูงแม้ว่าเครื่องจักรกล
จะชำรุดยังสามารถ
กำจัดหรือรอการกำจัด
ได้
1.4. ผลกระทบต่อ
สิ่งแวดล้อม

- น้ำผิวดิน - ไม่มี - อาจมีได้ - มีความเป็นไปได้สูง
- น้ำใต้ดิน - ไม่มี - อาจมีได้ - มีความเป็นไปได้สูง
- อากาศ - มี - ไม่มี - อาจมีได้
- กลิ่น แมลง พาหนะนำ
โรค
- ไม่มี - อาจมีได้ - มี
1.5. ลักษณะของมูลฝอย

- ต้องเป็นสารที่เผาไหม้
ได้มีค่าความร้อนไม่ต่ำ
กว่า 4.500 Kl/Kg และ
ความชื้นไม่มากกว่า
40%

- ต้องเป็นสารที่ย่อย
สลายได้มีความชื้น 50 -
70%

- รับมูลฝอยได้เกือบทุก
ประเภท ยกเว้นมูล
ฝอยติดเชื้อ หรือ
สารพิษ
1.6. ขนาดที่ดิน

- ใช้เนื้อที่น้อย

- ใช้เนื้อที่ปานกลาง

- ใช้เนื้อที่มาก
2. ด้านเศรษฐกิจ
2.1 เงินลงทุนในการ
ก่อสร้าง

- สูงมาก

- ค่อนข้างสูง

- ค่อนข้างต่ำ
2.2. ค่าใช้จ่ายในการ
ดำเนินการและซ่อมบำรุง

- สูง

- ค่อนข้างสูง

- ค่อนข้างต่ำ

35

ข้อพิจารณา วิธีการกำจัดมูลฝอยชุมชน
การเผา การหมักปุ๋ย การฝังกลบ
2.3 ผลพลอยได้จากการ
กำจัด

- ได้พลังงานความร้อน
จากการเผา

- ปุ๋ยอินทรีย์จากการ
หมักและโลหะที่แยก
ก่อนหมัก

- ได้ก๊าซมีเทนเป็น
เชื้อเพลิง
- ปรับพื้นที่เป็น
สวนสาธารณะ
ที่มา: กรมควบคุมมลพิษ 2547 การจัดการขยะมูลฝอยชุมชนอย่างครบวงจร คู่มือสำหรับผู้บริหารองค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่น
2) สภาวิศวกร (ไม่ระบุปีที่พิมพ์) จำแนกเทคโนโลยีการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนออกเป็น 5
ระบบคือ
(1) การกําจัดด้วยวิธีเชิงกล-ชีวภาพ (Mechanical Biological Waste Treatment:
MBT) โดยมีหลักการคือกระบวนการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ปนมากับขยะมูลฝอย
จนกระทั่งสารอาหารหมดทําให้กระบวนการย่อยสลายสิ้นสุดลง ไม่ก่อให้เกิดก๊าซมีเทน (CH4) จากระบบและมี
น้ำชะขยะในปริมาณน้อย จากนั้นขยะประเภทกระดาษและพลาสติกจะถูกนํามาคัดแยกเพื่อนํากลับไปแปรรูปใช้
ประโยชน์ใหม่ (Recycle) ส่วนขยะที่ย่อยสลายแล้ว เช่น อินทรียวัตถุจะถูกรวบรวมเป็นสารปรับปรุงดิน (Soil
Conditioner) เป็นต้น ส่วนเศษมูลฝอยที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้จะถูกนําไปฝังกลบในหลุมฝังกลบซึ่งถือเป็นการสิ้นสุด
ของกระบวนการ MBT
(2) การผลิตก๊าซชีวภาพด้วยกระบวนการย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจน (Anaerobic
Digestion: AD) เป็นการผลิตก๊าซชีวภาพด้วยกระบวนการย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจน (Anaerobic Process)
ที่ได้ก๊าซมีเทน (CH4) ที่ติดไฟสามารถนําไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ เช่น การผลิตกระแสไฟฟ้า เป็นต้น
กระบวนการย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจนแบ่งออกเป็น
(2.1) การผลิตก๊าซชีวภาพโดยคัดแยกขยะอินทรีย์และนําไปหมักในถังหมักเฉพาะ
(Anaerobic Digestion: AD)
(2.2) การผลิตก๊าซชีวภาพจากหลุมฝังกลบขยะมูลฝอยหรือที่เรียกว่า Landfill gas
(3) การทําปุ๋ยหมัก (Composting) เป็นการนําเฉพาะขยะอินทรีย์มาหมักให้กลาย
สภาพเป็นสารอินทรีย์ในรูปของธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชโดยใช้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆ เช่น ไส้เดือนดิน
หนอนดิน และจุลินทรีย์ในขยะมูลฝอยเป็นผู้ทําการย่อยสลาย การทําปุ๋ยหมักสามารถทําได้ทั้ง 2 ปฏิกิริยาคือ
(3.1) การหมักแบบใช้ออกซิเจน

36

(3.2) การหมักแบบไม่ใช้ออกซิเจน
(4) การเผาในเตาเผา (Incineration) เป็นการทําลายขยะมูลฝอยประเภทที่สามารถ
ติดไฟได้ อาทิ ขยะอินทรีย์ พลาสติก กระดาษ ไม้และเศษไม้โดยการใช้ความร้อนในตัวของขยะมูลฝอยเหล่านั้น
เป็นตัวทําลาย ขยะมูลฝอยเอง โดยการเผาในที่สามารถควบคุมอากาศและมีการบําบัดมลพิษที่เกิดจากการเผา
ก่อนปลดปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมอย่างปลอดภัย ส่วนเถ้าที่เกิดจากการเผาจะต้องนําไปฝังกลบอย่างปลอดภัย
ผลที่ได้จากการเผาขยะคือความร้อนที่สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น น้ำร้อน ไอน้ำ หรือแม้แต่การผลิต
กระแสไฟฟ้า เป็นต้น
(5) การฝังกลบอย่างถูกหลักสุขาภิบาล (Sanitary Landfill) เป็นการนําขยะมูลฝอย
ทั้งหมดที่ไม่ได้ผ่านการคัดแยกหรือผ่านการคัดแยกมาแล้วฝังลงในหลุมดินที่ขุดรองรับขยะไว้โดยที่ก้นหลุมมี
การปูวัสดุกันซึม อาทิ ดินเหนียวหรือแผ่นพลาสติกกันซึม เมื่อนําขยะบรรจุลงในหลุมมีการบดอัดแน่นแล้วมี
การกลบทับด้วยดินหรือวัสดุที่ทําหน้าที่ป้องกันกลิ่น แมลง หรือสัตว์ไปคุ้ยเขี่ยในแต่ละวัน ระบบฝังกลบมีการ
รวบรวมน้ำชะขยะที่เกิดขึ้นออกไปบําบัดก่อนทิ้งลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ นอกจากนี้ยังมีการระบายก๊าซที่เกิด
จากหลุมฝังกลบออกจากหลุมเพื่อป้องกันการเกิดระเบิดหรือการติดไฟของก๊าซมีเทน
3.4.3 นวัตกรรมการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน ที่มีการดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เช่น
1) เทศบาลนครเชียงใหม่นำร่องใช้แอพพลิเคชั่น GEPP (เก็บ) เรียกเก็บขยะรีไซเคิล
ฝ่ายบริการสาธารณสุข สำนักการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมของเทศบาลนครเชียงใหม่
พัฒนาเว็ปแอปพลิเคชัน GEPP จัดเก็บขยะรีไซเคิลมาใช้งานให้ใช้บริการฟรีโดยนำร่องการใช้งานกับโรงแรม
และสถานการศึกษาในเขตพื้นที่เทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อลดปัญหาขยะตกค้าง ลดก๊าซเรือนกระจก ตลอดจน
การสร้างจิตสำนึกให้กับประชาชนในพื้นที่มีการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธีก่อนนำไปทิ้ง นอกจากนี้ประชาชนจะ
ได้รับเงินจากการขายขยะมูลฝอยที่ทิ้งผ่านกระบวนการคัดแยกไปแล้ว การเรียกผ่านแอปพลิเคชันช่วยเพิ่ม
ความสะดวกให้ผู้ใช้บริการและสามารถระบุปริมาณของขยะรวมถึงวันเวลาที่นัดมาจัดเก็บ ในปี พ.ศ. 2563
เทศบาลนครเชียงใหม่จะขยายการฝึกอบรมไปยังชุมชนต่างๆ ให้มีการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธีคาดว่าจะสร้าง
รายได้กลับคืนสู่ชุมชนและช่วยกระตุ้นให้ชุมชนสนใจมากขึ้นเป็นลำดับ GEPP จัดเก็บขยะรีไซเคิลช่วยให้ทราบ
ข้อมูลสถิติขยะมูลฝอยของแต่ละพื้นที่และแต่ละครัวเรือนว่ามีปริมาณขยะมากน้อยเท่าใด มีขยะมูลฝอยชนิดใด
มากที่สุด อีกทั้งช่วยแก้ไขปัญหาก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน สร้างจิตสำนึกถึงความสำคัญ
ของการคัดแยกขยะที่ถูกต้องก่อนนำไปทิ้ง นอกจากนี้ GEPP จัดเก็บขยะรีไซเคิลยังช่วยเป็นสื่อกลางให้กับผู้รับซื้อ
ขยะมูลฝอยกับผู้ขายโดยตรง
2) ภาชนะ “ตานี” รักษ์โลก
ทางเลือกในการป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกและโฟมซึ่งเป็นแนวคิดของนางสาว
นฤภร เข็มทอง นายประโคม ประจำวงศ์ และนางสลักจิต เข็มทอง ราษฏรใน อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย
เพื่อการแก้ไขปัญหาใบตองกล้วยตานีสดที่แตกหรือขอบใบเหลืองที่ไม่สามารถส่งออกได้มาทำเป็นกระทงใส่

37

อาหารเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ ช่วยลดรายจ่ายและลดขยะ ต่อมามีการต่อยอดนำใบตอง
กล้วยตานีแห้งมาขึ้นรูปเป็นภาชนะใส่อาหาร สามารถเก็บไว้ใช้ได้นาน สวยงาม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
3.4.4 นวัตกรรมและเทคโนโลยีการบริหารจัดการขยะพลาสติก ที่มีการเริ่มดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
ประกอบด้วย
1) นวัตกรรมอัพไซคลิ่ง (Upcycling) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรีไซเคิลและเป็น
วิธีการแก้ปัญหาพลาสติกเหลือทิ้งที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย โดยเป็นการนำขยะพลาสติกมาแปรรูป
เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้เป็นสิ่งใหม่ สามารถนำมาใช้ได้ในรูปแบบใหม่ๆ โดยไม่สร้างขยะกลับคืนสู่วงจรขยะ
พลาสติกอีกครั้ง เช่น การนำมาทำเป็นวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์สำนักงาน และสินค้าไลฟ์สไตล์ เป็นต้น
2) พลาสติกที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติหรือไบโอพลาสติก ซึ่งเป็นพลาสติกที่สามารถย่อย
สลายได้ด้วยจุลินทรีย์และแบคทีเรียตามธรรมชาติ โดยสามารถผลิตจากวัตถุดิบที่สามารถผลิตทดแทนขึ้นใหม่
ได้ในธรรมชาติ เช่น อ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพด เป็นต้น มีคุณสมบัติการใช้งานใกล้เคียงพลาสติกจากปิ
โตรเคมีแบบดั้งเดิม และพลาสติกชีวภาพแบบย่อยสลายได้จะกลับคืนสู่ธรรมชาติได้ 100% ซึ่งเป็นแนวทาง
สำหรับการใช้งานเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง
3) นวัตกรรมเพื่อการจัดการไมโครพลาสติก เนื่องจากไมโครพลาสติกถือเป็นพลาสติกขนาด
เล็กและมองไม่เห็นซึ่งมักปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ทะเล และทำให้สัตว์ต่างๆ เสียชีวิตตามที่ปรากฏในข่าวสารซึ่ง
จำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยผู้ประกอบการและต้นทางในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องควรให้ความใส่ใจอย่าง
จริงจังด้วยการหาวัสดุทดแทนหรือมีกระบวนการจัดการที่รัดกุมเพื่อปรับระบบการผลิตให้เป็นมิตรต่อ
สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศที่ดีขึ้นทั้งระบบ
4) การเปลี่ยนขยะพลาสติกเป็นพลังงาน เป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจโดยสามารถนำ
ขยะพลาสติกที่มีอยู่จำนวนมหาศาลมาแปรรูปเป็นพลังงาน เช่น พลังงานความร้อน หรือพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น
การพัฒนานวัตกรรมในรูปแบบนี้ยังช่วยลดต้นทุนในกิจกรรมดังกล่าว พร้อมสร้างมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมที่
เกี่ยวข้องได้อีกด้วย
3.5 สรุปการทบทวนวรรณกรรมการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน
บทนี้ได้นำเสนอนิยามศัพท์เฉพาะและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับเมือง ความเป็นเมือง และการบริหารจัด
การเมือง ขยะมูลฝอยชุมชนในเมือง แนวคิด ทฤษฏีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยแนวคิดการจัดการ
ขยะมูลฝอยชุมชนแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน แนวคิดเศรษฐกิจพลาสติกใหม่
แนวคิดการใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยชุมชน เทคโนโลยีและนวัตกรรมการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนและขยะ
พลาสติก รวมทั้งการสังเคราะห์การทบทวนวรรณกรรมที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อนำมาใช้ในการกำหนดกรอบ
แนวคิดของการศึกษา

38

บรรณานุกรม
ภาษาไทย
กรมควบคุมมลพิษ 2557 หลักเกณฑ์ และเอกสารวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะมูลฝอยและของเสีย
อันตราย เข้าถึงจาก http//infofile.pcd.go.th/waste/topic15.pdf?CFID=19440059
&CFTOKEN=14202960 เข้าถึงเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563
กรมควบควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2547 การจัดการขยะมูลฝอยชุมชน
อย่างครบวงจร เข้าถึงจาก http://www.pcd.go.th/info_serv/waste_garbage.html เข้าถึงเมื่อ 22
พฤษภาคม 2563
กรมควบควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2548 แนวทางและข้อกำหนดเบื้องต้น
การลดและใช้ประโยชน์ขยะมูลฝอย เข้าถึงจาก http://www.pcd.go.th/info_serv/waste_3r.htm
เข้าถึงเมื่อ 22 พฤษภาคม 2563
กรมโรงงานอุตสาหกรรม 2555 คู่มือ 3Rs กับการจัดการของเสียภายในโรงงาน เข้าถึงจาก
http//www2.diw.go.th/iwmb/form/iwd040_%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%A7
%E0%B8%81%20%E0%B8%84_%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E
0%B8%B7%E0%B8%AD3Rs.pdf เข้าถึงเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563
กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ 2555 เซี่ยงไฮ้นําร่องระเบียบการจัดการขยะในจีน
เข้าถึงจาก https//globthailand.com/china-29082019/ เข้าถึงเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563
คณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา 2545 กรณีการฝังกลบขยะในพื้นที่ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี
จังหวัดสมุทรปราการ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ราษฎร รายงานการพิจารณาศึกษากรุงเทพฯ
สำนักกรรมาธิการ 1 สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 2558 รายงานการศึกษาฉบับสุดท้ายโครงการศึกษาแนว
ทางการพัฒนาเมืองในพื้นที่ภาคกลาง เสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ
จรีรัตน์ สกุลรัตน์ 2558 รูปแบบระบบการจัดการมูลฝอยชุมชนที่ยั่งยืนสำหรับองค์กรปกครองท้องถิ่นในพื้นที
ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาตอนล่าง สงขลา กลุ่มวิจัยการจัดการมูลฝอยและกากของเสียอันตราย
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หน่วยวิจัยการเรียนรู้เชิงบูรณาการเพื่อพัฒนา
คุณภาพสังคมอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยทักษิณ
ชนิดา เพชรทองคำ และคณะ 2554 การบริหารจัดการขยะและเทคโนโลยีที่เหมาะสมโดยการมีส่วนร่วมของ
ชุมชน: กรณีศึกษา อบต.ไร่ส้ม จ.เพชรบุรี [ข้อมูลอิเลคทรอนิค] โครงการพัฒนาและส่งเสริมความ

39

ร่วมมือเครือข่ายนักวิจัยสิ่งแวดล้อม กรุงเทพ ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริม
คุณภาพสิ่งแวดล้อม
ณิชชา บูรณสิงห์ ไม่ระบุปี “ขยะพลาสติก” ปัญหาระดับโลกที่ต้องเร่งจัดการ เข้าถึงจาก
https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_dl_link.php?nid=5
8603&filename=index เข้าถึงเมื่อ 29 ธันวาคม 2563
ฐิติรัตน์ อำไพ 2550 การจัดการขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย กรุงเทพฯ โรงพิมพ์แซทโฟร์
ฒาลิศา เนียมมณี 2554 กระบวนการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาขยะโดยการผลิตอินทรีย์สารเพื่อการเกษตร
ของชุมชนบางนางลี่ จังหวัดสมุทรปราการ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เข้าถึงจาก
http://ssruir.ssru.ac.th/bitstream/ssruir/531/1/099-54.pdf เข้าถึงเมื่อ 22 พฤษภาคม 2563
นัยนา เดชะ 2557 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการในการจัดการขยะมูลฝอยของชุมชนตำบลเสม็ด
อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการสิ่งแวดล้อม
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ปิยชาติ ศิลปสุวรรณ 2557 บทความทางวิชาการ: ขยะมูลฝอยชุมชน ปัญหาใหญ่ที่ประเทศกำลังเผชิญ
[ข้อมูลอิเลคทรอนิค] 4 (7) เมษายน 2557
ปรีดา แย้มเจริญวงศ์ 2531 การจัดการขยะมูลฝอย=Solid waste management ขอนแก่น โรงพิมพ์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ผู้จัดการออนไลน์ 2561 สิงคโปร์ รั้งแถวหน้าโลก “บริหารจัดการขยะ” แต่ยอดการใช้พลาสติกผู้บริโภคกลับไม่
ลด เข้าถึงจาก https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9610000092538 เข้าถึงเมื่อ 20
ธันวาคม 2562
พิมผกา โพธิลังกา 2560 การจัดการขยะมูลฝอย ลำปาง คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง
พิรียุตม์ วรรณพฤกษ์ 2555 การปรับปรุงนโยบายการจัดการขยะมูลฝอยของประเทศไทย [ข้อมูลอิเลคทรอนิค]
ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
พิศพร ศนา และโชติ บดีรัฐ 2558 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยในเขตพื้นที่เทศบาลนคร
พิษณุโลก [ข้อมูลอิเลคทรอนิค] รายงานสืบเนื่องจากการประชุมสัมมนาวิชาการนำเสนองานวิจัยระดับชาติ
และนานาชาติ (Proceedings) เครือข่ายบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎภาคเหนือ ครั้งที่ 15 หน้า
151-164
พนิต ภู่จินดา และ ยศพล บุญสม 2559 แนวทางการพัฒนาเมืองต้นแบบ วารสาร เจ-ดี: วารสารการออกแบบ
สภาพแวดล้อม ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน) หน้า 41-43

40

พัชรี หอวิจิตร 2536 การจัดการขยะมูลฝอย ขอนแก่น หน่วยสารบรรณ งานบริหารธุรการ
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ไพบูลย์ แจ่มพงษ์ 2560 การจัดการขยะมูลฝอย กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ไพโรจน์ คงทวีศักดิ์ 2552 เมืองคืออะไร? ฤาเป็นเพียงคำถามที่ไร้สาระ ภูมิศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงใน
ล้านนา วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีที่ 21 ฉบับที่ 1/2552
ยุวัฒน์ วุฒิเมธี และสุวรรณ ภิรมย์ทอง 2558 การจัดการปัญหาขยะมูลฝอยในชุมชนเทศบาลนคร
พระนครศรีอยุธยา [ข้อมูลอิเลคทรอนิค] วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ 8 (2) (กุมภาพันธ์-พฤษภาคม)
หน้า 7-29 สำนักวิชาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย
วิชัย โถสุวรรณจินดา 2558 บทความวิจัย: มาตรการทางกฏหมายในการจัดการขยะมูลฝอยของประเทศไทย
[ข้อมูลอิเลคทรอนิค] ส่วนหนึ่งของการศึกษาในหลักสูตร ประกาศนียบัตรธรรมภิบาลสิ่งแวดล้อมสำหรับ
ผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 2 พ.ศ. 2558
ศูนย์บริการข้อมูลเศรษฐกิจระหว่างประเทศ 2559 4 ปัจจัยความสำเร็จในการจัดการขยะแบบสวีเดน
กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (Department of International Economic Affairs) เข้าถึงจาก
http://www.mfa.go.th/business/th/articles/88/68972-4-9.html เข้าถึงเมื่อ 14 ธันวาคม 2562
ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร 2520 แผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 1 เข้าถึงจาก
http//203.155.220.230/bmainfo/docs/plans/plan1.pdf เข้าถึงเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563
ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร 2520 แผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 2 เข้าถึงจาก
http//203.155.220.230/bmainfo/docs/plans/plan2.pdf เข้าถึงเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563
ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร 2520 แผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 3 เข้าถึงจาก
http//203.155.220.230/bmainfo/docs/plans/plan3.pdf เข้าถึงเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563
ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร 2520 แผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 4 เข้าถึงจาก
http//203.155.220.230/bmainfo/docs/plans/plan4.pdf เข้าถึงเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563
ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร 2520 แผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 5 เข้าถึงจาก
http//203.155.220.230/bmainfo/docs/plans/plan5.pdf g-เข้าถึงเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563
ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร 2520 แผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 6 เข้าถึงจาก
http//203.155.220.230/bmainfo/docs/plans/plan6.pdf เข้าถึงเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563
ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร 2520 แผนการบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕48-๒๕51 เข้าถึงจาก
http//203.155.220.230/bmainfo/docs/plans/manage1.pdf เข้าถึงเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563

41

ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร 2520 แผนการบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๕2-๒๕55 เข้าถึงจาก
http//203.155.220.230/bmainfo/docs/plans/manage2.pdf เข้าถึงเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563
ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร 2520 แผนการบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ เข้าถึง
http//203.155.220.230/bmainfo/docs/plans/2Management%20Plan%20governor%2025
56-2560.pdf เข้าถึงเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563
ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร 2520 แผนวิสัยทัศน์ของประชาชนเพื่อการพัฒนากรุงเทพมหานครระยะ ๒๐ ปี
เข้าถึงจาก http//203.155.220.230/bmainfo/docs/plans/Bangkkok_newgreen.pdf เข้าถึงเมื่อ
17 กุมภาพันธ์ 2563
ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร 2520 แผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ 12 ปี (พ.ศ. 2552-2563) เข้าถึงจาก
http//203.155.220.230/bmainfo/docs/plans/1plan%20development%2012%
20year%20(%202552-2563).pdf เข้าถึงเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563
ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร 2520 แผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ 4 ปี (พ.ศ. 2556-2559) เข้าถึงจาก
http//203.155.220.230/bmainfo/docs/plans/1plan%20development%2012%20year%
20time%202%20(%202556-2559).pdf เข้าถึงเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563
ศูนย์ข้อมูลกรุงเทพมหานคร 2520 แผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2556-2575) เข้าถึงจาก
http//203.155.220.230/bmainfo/docs/plans/1_1PlanDevelopBangkok20Year2556-
2575_THAI.pdf เข้าถึงเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563
สินาถ ตรีวรรณไชย 2559 เมืองเกิดขึ้นได้อย่างไร (How Cities Exist) เข้าถึงจากhttp://medium.com/
@treewanchai เข้าถึงเมื่อ 17 มิถุนายน 2562
สุภาภรณ์ ศิริโสภนา 2549 บทความวิชาการ: ขยะชุมชน สถานที่ฝังกลบ และการฟื้นฟู [ข้อมูลอิเลคทรอนิค]
วารสารวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 22 (2) ธันวาคม หน้า 104-121
สภาวิศวกร ไม่ระบุปีที่พิมพ์ เอกสารระบบขยะมูลฝอย เข้าถึงจาก http://www.coe.or.th/http_public/
download/Articles/ENV/CH9.pdf เข้าถึงเมื่อ 22พฤษภาคม 2563
สมสกุล ลิขนะจุล 2555 การจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี กลุ่มงานภาษาสเปน
เยอรมันและอาหรับ สำนักภาษาต่างประเทศ สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา
สำนักงานที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมในต่างประเทศประจำกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย 2558 แนวทางการ
จัดการของเสียของสหภาพยุโรป กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ 2562 การ
จัดการขยะ ลดพลาสติก และพัฒนาพลาสติกชีวภาพในยุโรป รายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูล

42

นโยบายมาตรการในสหภาพยุโรปประกอบข้อเสนอแนะนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ
นวัตกรรมของประเทศไทย
สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 2562 การจัดการขยะมูลฝอยในประเทศไทย เข้าถึงจาก
https://library2.parliament.go.th/ebook/content-ebbas/2562-acd3.pdf เข้าถึงเมื่อ 15
พฤศจิกายน 2562
สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข 2546 กฎกระทรวงว่าด้วยการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ
พ.ศ.2545 นนทบุรี
อาณัติ ต๊ะปินตา 2553 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอย กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย
อรทัย ก๊กผล 2559 Urbanization เมื่อเมืองกลายเป็นโจทย์ของการบริหารจัดการท้องถิ่นสมัยใหม่ วิทยาลัย
การปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า 220 หน้า กรุงเทพฯ จัดพิมพ์โดย บริษัทแพคเก็จจิ้ง (2014)
จำกัด
สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดนครสวรรค์ 2562 เอกสารผลงานการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน
“จังหวัดสะอาด” จังหวัดนครสวรรค์ 42 หน้า
สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 15 ภูเก็ต 2562 เอกสารรายงานการติดตามและประเมินสมรรถนะระบบกำจัด
ขยะมูลฝอยชุมชนภายใต้ปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด
ภาษาอังกฤษ
ABRELPE. nd. Solid Waste: Guidelines for Successful Planning. ABRELPE, SAO PAOLO. (Online)
เข้าถึงวันที่ 2 มีนาคม 2563
Anshutz, J., IJgosse, J., and Scheinberg, A. 2004. Putting Integrated Sustainable Waste
Management Into Practice: Using the ISWM Assessment Methodology as Applied in the
UWEP Plus Programme (2001–2003).WASTE, Gouda, the Netherlands. (Online)
https://www.eawag.ch/fileadmin/Domain1/Abteilungen/sandec/schwerpunkte/sesp/CL
UES/Toolbox/t12/D12_1_Anschuetz_et_al_2004.pdf เข้าถึงวันที่ 10 มีนาคม 2563
Chiemchaisri, C., Juanga, J. P., and Visvanathan, C.2006.Municipal solid waste management in
Thailand and disposal emission inventory. Environ Monit Assess. DOI 10.1007/s10661-
007-9707-1.
Khatib, I. A. 2011. Municipal Solid Waste Management in Developing Countries: Future
Challenges and Possible Opportunities, Integrated Waste Management, Volume II, DOI:
10.5772/16438. เข้าถึงวันที่ 2 มีนาคม 2563

43

United States Environmental Protection Agency (EPA). nd. Sustainable Materials
Management: Non-Hazardous Materials and Waste Management Hierarchy. EPA, USA.
เข้าถึงจาก https://www.epa.gov/smm/sustainable-materials-management-non-hazardous
-materials-and-waste-management-hierarchy เข้าถึงวันที่ 2 มีนาคม 2563
Wilson D. C., Velis, C. A., and Rodic, L. 2014. Integrated sustainable waste management in developing
countries. Waste and Resource Management, Volume 166, Issue WR2, pp. 52-68.
Websites
https://www.bbc.com/thai/international-48459370 เข้าถึงเมื่อวันที่ 15 กรกฏาคม 2562
https://positioningmag.com/1262843 เข้าถึงเมื่อ 8 พ.ค.2563
https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_30Jul2019.aspx
เข้าถึงเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562
https://www.mhesi.go.th/main/STBookSeries/BS003CircularEconomy.pdf เข้าถึงเมื่อวันที่ 11
ธันวาคม 2562
http://www.industry.go.th/center_mng/index.php/2016-04-24-18-07-42/2016-04-24-18-09-
38/2016-04-24-18-10-07/item/12060-circular-economy เข้าถึงเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2562
https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/1073822?fbclid=IwAR3Wk7_wOAs977MyGVyj
jX5iblI1wWBzy87iH04gk7X3chi97hrqTlw2olg เข้าถึงเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2562
https://sdthailand.com/2019/07/jose-adolfo-peruvian-boy-banker/?fbclid=IwAR01ZRefyg RpuLul
3MVVWYLZnpS_wK_qgKnT8fvP7giZe9TjaFNARGqSXm4 เข้าถึงเมื่อวันที่ 15 กรกฏาคม 2562
https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9620000124434 เข้าถึงเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563
https://www.ryt9.com/s/cabt/3085297 เข้าถึงเมื่อ 20 มีนาคม 2563
https://waymagazine.org/zero-waste-at-ljublijana/ เข้าถึงเมื่อ 12 พฤษภาคม 2563
http://realmetro.com/kamikatsu-แยกขยะ/ เข้าถึงเมื่อ 12 พฤษภาคม 2563
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=15&chap=8&page=t15-8-
infodetail06.html เข้าถึงเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2562
http://arts.kmutt.ac.th/ssc210/Group%20Project/G244/G06/pages/part2_4.html
http://www.pcd.go.th/info_serv/waste_garbage.htmlเลี้ยงสัตว์
https://www.youtube.com/watch?v=3e1hYX1tZJE

44

https://www.peoplesfridge.com/what-s-the-story-1
http://www.designindaba.com/articles/creative-work/people%E2%80%99s-fridge-effort-
reduce-food-waste-and-combat-hunger
http://www.dla.go.th/work/garbage.pdf
http://dn.core-website.com/public/dispatch_upload/backend/core_dispatch_162169_1.pdf
http://www.dla.go.th/work/garbage2.PDF
http://kontb.blogspot.com/2017/11/2560.html
http://www.pcd.go.th/info_serv/waste_garbage.html#s2
http://www.mfa.go.th/business/th/articles/88/68972-4-9.html
https://sites.google.com/site/tmmintmynt/kar-ld-laea-kar-chi-prayochn-khya-mulfxy
https://www.youtube.com/watch?v=wEHcEf5EO8M เข้าถึงเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563
https://poonamtongtin.com/497 /ประกาศแล้ว!%20ผลการประเมินเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน%20ปี%2062
เข้าถึงเมื่อ 13 กรกฎาคม 2563
https://www.greenpeace.org/thailand/press/17500/plastic-statement-ban-control-plastic-
waste-in-thailand/ เข้าถึงเมื่อ 30 ธันวาคม 2563
https://www.xinhuathai.com/inter/163164_20201223?fbclid=IwAR0mhCG2t7saKL7mUWrchwYr
TZWrJPsbs1cZtNyHcB3hAuxWasIyw43EG9I เข้าถึงเมื่อ 29 ธันวาคม 2563
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/911703 เข้าถึงเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2564
http://www.tei.or.th/file/events/4P-LAW_283.pdf เข้าถึงเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2564
https://mgronline.com/politics/detail/9640000005505 เข้าถึงเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2564
https://www.greennetworkthailand.com เข้าถึงเมื่อ 10 กมภาพันธ์ 2564
https://www.posttoday.com/economy/news/637040 เข้าถึงเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2564
Tags